ศีลพระโพธิสัตว์
โพธิสัตวยาน (พู่สักเส็ง) คือยานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้แก่
ผู้มีใจคอกว้างขวาง ประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ ไม่ต้องการอรหัตภูมิ ปัจเจกภูมิ
แต่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อโปรดสัตว์ได้กว้างขวางกว่า ๒ ยานแรก
และเป็นผู้รู้แจ้งในสุญญตาธรรม หลักพระโพธิสัตวยานนั้น ถือว่าจะต้องโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นทุกข์เสียก่อนแล้วตัวเองค่อยหลุดพ้นทุกข์ทีหลัง
คือ จะต้องชักพาให้สัตว์โลกอื่นๆ ให้พ้นไปเสียก่อน ส่วนตัวเองเป็นคนสุดท้ายที่จะหลุดพ้นไป
ซึ่งเป็นหลักแห่งโพธิสัตวยาน โดยวิธีการนั้น ผู้จะเป็นโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญ ทศ
ปารมิตา ได้แก่ ทานบารมี คือจิตต้องพร้อมในการให้ทานเป็นปกติ
ศีลบารมี คือจิตต้องพร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ เนกขัมมะบารมี คือจิตต้องพร้อมในการถือบวชเป็นปกติ
ในที่นี้ หมายถึงบวชใจ ปัญญาบารมี คือจิตต้องพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหารอุปาทานให้พังพินาศไป
วิริยะบารมี คือต้องมีความเพียรในทุกขณะ โดยการควบคุมใจไว้เสมอ ขันติบารมี คือต้องมีความอดทน
อดกลั้นต่อสิ่งอันเป็นปฏิปักษ์ สัจจะบารมี คือต้องทรงตัวไว้ว่าเราจะทำจริงทุกอย่างในด้านของการทำความดี
ไม่มีคำไม่จริงสำหรับใจตัวเอง อธิษฐานบารมี คือต้องตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ เมตตาบารมี
คือต้องสร้างความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น และอุเบกขาบารมี
คือต้องวางเฉยในกาย นอกจากนั้นในการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ จะมีศิลพระโพธิสัตว์มีทั้งหมด
๕๘ ข้อ แบ่งเป็นครุกาบัติ หรืออาบัติหนัก ทั้งหมด ๑๐ ข้อ และลหุกาบัติ หรืออาบัติเบา
ทั้งหมด ๔๘ ข้อ สำหรับครุกาบัติ ๑๐ ข้อ หากล่วงละเมิด
จะต้องโทษ ดังนี้
๑. ผู้ฆ่าชีวิตมนุษย์ให้ตายด้วยมือตนเอง
ใช้ผู้อื่นกระทำหรือเป็นใจสมรู้ ตลอดจนฆ่าชีวิตสัตว์เล็กใหญ่ให้ตาย ต้องสถานโทษหนัก
พุทธศาสนานั้นไม่ยอมรับการฆ่าในทุกกรณี
นอกจากการไม่ฆ่าด้วยตนเองแล้ว การเกี่ยวข้องกับการฆ่า ก็เป็นสิ่งที่ชาวพุทธพึงหลีกเลี่ยง เพราะจะส่งผลให้
เกิดทุกข์ทางใจ
จิต ที่เป็น ปกติสุขไม่อาจคิดลงมือฆ่า
การจะเอาชีวิตใครได้ต้องใช้จิตที่เป็นทุกข์เท่านั้น เพราะส่วนลึกรู้อยู่ว่าเป็นเรื่องผิด
เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ แม้แต่มดตัวน้อยก็ดิ้นรนเอาชีวิตรอดยามจวนตัว อยากดำรงสภาพของตนเองจนกว่าจะถึงอายุขัย
ถ้าเราเป็นผู้หยิบยื่นความตายให้กับเขา ใจเราจะเป็นสุขไปได้อย่างไร การสังเกตเข้ามาในตนเองจะทำให้เห็นทุกข์เป็นขณะ
ๆ อย่างชัดเจนทุกข์เริ่มต้นตั้งแต่เมื่ออยากฆ่า สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นความหวั่นไหวลังเลใจ
กระวนกระวาย กระสับกระส่ายไม่สบายตัวทุกข์ จะทวีตัวขึ้นเมื่อตัดสินใจฆ่าจริง สังเกตเข้ามาในตนเอง
จะเห็นเป็นแรงดันร้อน ๆ อัดแน่นอยู่ในอก ตลอดจนเกิดความตึงเครียดขึ้นในหัว ต่อให้ภายนอกดูนิ่ง
ก็คล้ายมีลูกไฟวิ่งพล่านอยู่ข้างในทุกข์จะทวี ตัวขึ้นอีกเมื่อมีการพยายามฆ่า สังเกตเข้ามาในตนเอง
จะเห็นเป็นการฝืนใจ เค้นเอาโทสะขึ้นมาพยายามเอาชนะมนุษยธรรมที่ติดตัวมาแต่แรกเกิดทุกข์
จะทวีตัวขึ้นถึงขีดสุดเมื่อลงมือฆ่า สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นความรู้สึกเหี้ยมเกรียมก่อตัวขึ้นมากพอที่จะระงับความละอายต่อบาปลง
ชั่ววูบ หรือดับสำนึกเมตตาปรานีลงชั่วขณะหนึ่งทุกข์จะไม่จบโดยง่าย แม้เมื่อฆ่าสำเร็จ
สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นความรู้สึกผิดที่ยืดเยื้อ เพราะตระหนักว่าชีวิตเมื่อตกล่วงไปแล้ว
ย่อมไม่อาจเอากลับคืนมาได้ แม้ผู้ฆ่าจะสำนึกเสียใจเพียงใดก็ตามถ้าสัตว์ที่ถูกฆ่ามีร่างจ้อยจน
ดูไร้ค่า เช่น มดและแมลง ก็ไม่ต้องอาศัยกำลังใจในการปลิดชีวิตมากนัก ทุกข์ในขณะต่างๆ
จึงอาจปรากฏเป็นของเล็กเกินกว่าจะจับสังเกตได้ หรือในอีกทางหนึ่ง แม้ผู้ถูกฆ่าจะเป็นมนุษย์
ซึ่งต้องอาศัยกำลังใจในการทำบาปยิ่งกว่าฆ่าสัตว์หลายร้อยหลายพันเท่า ความทุกข์ในการลงมือฆ่าก็อาจถูกกลบเกลื่อนด้วยความพึงใจที่สามารถกำจัด
ปรปักษ์ได้สำเร็จความไม่เห็นค่าของชีวิต กับความสะใจที่ฆ่าสำเร็จ จึงเปรียบเหมือนม่านอำพรางทุกข์ทางใจของเราได้
แต่ขอเพียงเราใส่ใจสังเกต ก็จะพบว่าทุกข์ทางใจอันเกิดจากการฆ่า ยังคงเป็นความจริงอยู่เสมอ
เป็นการสั่งสมบาป
บาป เป็นธรรมชาติฝ่ายมืด เพราะมีอิทธิพลปรุงแต่งสภาพจิตให้มัวหมองลง
นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่ทำบาป มองไปทางไหนเราจะรู้สึกว่าโลกหม่นมืดกว่าปกติเมื่อทราบว่าความมืด
เป็นเครื่องหมายของบาป เราก็สามารถสำรวจใจตนเองแล้วทราบได้ว่าการฆ่าเป็นบาป เพราะไม่มีการฆ่าครั้งใดที่ทำให้จิตของเราสว่างขึ้น
มีแต่จะหม่นหมองลง กับทั้งไม่มีแก่ใจคิดอะไรในทางดี ในทางที่เจริญเอาเลย แรงผลักดันให้
ทำลายชีวิตผู้อื่นได้คือโทสะ โทสะต้องแรงเกินเมตตาธรรมไปมาก จึงขับให้เราก่อบาปด้วยการฆ่าได้
และโดยเหตุนี้เอง ทุกครั้งที่เราฆ่าแบบไม่ฝืนใจ ไม่ยั้งคิด ไม่ยั้งมือ จิตของเราจึงเหมือนแปรสภาพเป็นลูกไฟแห่งความโกรธแค้น
ถ้าโกรธแค้นมากก็ลุกโพลงเป็นไฟดวงใหญ่ยืดเยื้อยาวนาน ถ้าโกรธแค้นน้อยก็โชนวูบเป็นไฟดวงเล็กแล้วดับลงในเวลาอันสั้นที่น่า
กลัวก็คือบาปสามารถสั่งสมตัวได้ นั่นหมายความว่ายิ่งฆ่าสำเร็จมากขึ้นเท่าไร ใจก็ยิ่งเร่าร้อนมากขึ้นเท่านั้น
มองไปทางไหนอะไรต่ออะไรดูขวางหูขวางตา น่าทำลายล้างไปหมด ใครพูดผิดหูนิดเดียว ใจเราจะนึกถึงการลงมือประทุษร้ายเขามากกว่านึกถึงการคุยกันดีๆ
ด้วยเหตุด้วยผลแม้ตบยุงสักตัว มือของเราก็ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องประหารแล้ว และใจของเราก็นับว่าเปื้อนบาปแห่งการฆ่าแล้ว
ฉะนั้น ยิ่งตบยุงบ่อย เราก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญง่าย และใจก็ทำตัวคล้ายหลุมดำที่ดึงดูดยุงเข้ามาหาตัวถี่ขึ้นอย่างน่าแปลกใจ
จนในที่สุด ยุงในการรับรู้ของเราก็กลายเป็นเครื่องหมายเตือนให้นึกถึงการเข่นฆ่าท่าเดียว
ความคิดในทางทำลายจะลดความฉลาดในการหาวิธีป้องกัน เราจะไม่รู้สึกผิดและย้ำบอกตัวเองว่าสมควรแล้ว
กระทั่งบาปพอกพูนขึ้นจนหนา รู้สึกด้านชากับการฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับเล็ก ถึงจุดนั้นเราจะพร้อมฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับที่ใหญ่ขึ้น
ด้วยความรู้สึกว่าสมควรแล้วในทางใดทางหนึ่งเช่นกันฉะนั้น เพียงไม่ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะเว้นขาดจากการฆ่า
ก็นับว่ามีโทษแล้ว เพราะเมื่อถูกรบกวนให้เกิดโทสะอย่างแรงกล้า เมตตาธรรมดั้งเดิมย่อมลดระดับแทบไม่เหลือ
ยังผลให้สติพร่าเลือนลง เปิดช่องให้โทสะเข้าครอบงำจนโง่เขลา หลงนึกว่าบาปแห่งการฆ่าเป็นสิ่งสมควรทำยิ่งกว่าบุญแห่งการไว้ชีวิต
มีความเป็นอยู่ที่เลวร้าย
ไม่มีความรู้สึกผิดอันใดย่ำแย่ไปกว่าความรู้สึกผิดที่เกิดจากการฆ่า
เพราะบาปข้ออื่นยังพอไถ่ถอนความรู้สึกผิดไหว เช่น ขโมยสมบัติใครยังคืนได้ เป็นชู้ยังขอขมาได้
โกหกยังสารภาพได้ ติดเหล้ายังฝึกอดได้ แต่ถ้าฆ่าใครสำเร็จ เราจะเอาชีวิตที่ไหนมาใช้คืนเขา
ถ้าฆ่าใครแล้ว รู้สึกผิด ความรู้สึกผิดนั้นมักเรื้อรัง หากเปรียบเป็นแผล ก็หนักหนาเสียยิ่งกว่าบาดแผลทางกายหลายเท่า
เพราะกายอาจเกิดแผลสดเพียงไม่นานก็ตกสะเก็ด รอให้เนื้อสมานกันดังเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
แต่แผลทางใจอันเกิดจากบาปแห่งการฆ่านั้น จะยังคงสดใหม่อยู่เสมอ ตราบเท่าที่ชีวิตของผู้ตายไม่อาจฟื้นคืนกลับมาฟังคำขอโทษจากเรา
เมื่อบาปจากการฆ่าถูกสั่งสมมากแล้ว ผู้ฆ่าย่อมเลื่อนฐานะเป็นนักฆ่า ดูเผินๆ เหมือนใจเย็นกว่าคนอื่น
แต่ที่แท้เลือดเย็นกว่าใครๆ ต่างหาก ความเลือดเย็นของนักฆ่าย่อมก่อให้เกิดกระแสในตัวที่น่าพรั่นพรึง
ชวนให้รู้สึกถึงอันตราย ไม่ต่างจากยุง งู หรือเสือ แค่เห็นก็นึกเกลียดกลัวขึ้นมาทันที
ทั้งที่ยังไม่ทันทำอะไรให้ การฆ่าแต่ละครั้งคือการสั่งสมความเครียด จะน้อยหรือมากก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องเค้นกำลังใจขึ้นมาปลิดชีวิตผู้อื่นเพียง
ใด ความเครียดทำนองนี้ย่อมกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารอันเป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด ซึ่งเมื่อสั่งสมมากพอ
ย่อมก่อให้เกิดโรคที่คาดเดายาก จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดนักฆ่าทั้งหลายจึงต้องทุรนทุรายกับสารพัดโรคร้าย
ราวกับถูกคุมขังและลงโทษให้ตายอย่างทรมานอยู่ในคุกแคบ ซึ่งก็คือร่างกายของตนนั่นเอง
นักฆ่าจัดเป็นพวกที่ไว้ชีวิตตนเพื่อ ตัดชีวิตท่าน จึงย่อมได้ชื่อว่าก่อกรรมด้วยการริบอายุผู้อื่น
แม้กลับใจแล้ว และใช้ชีวิตที่เหลือทำบุญใหญ่เพื่อให้บาปเจือจางลง เป็นผลให้มีสิทธิ์ได้เกิดเป็นมนุษย์ใหม่
ก็ย่อมถูกผลของบาปแห่งการฆ่าริบอายุเอาบ้าง อาจด้วยการถูกศัตรูไล่ล่าฆ่าคืน อาจด้วยการเป็นโรคร้ายรักษาไม่หาย
หรืออาจด้วยการประสบอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ตายดับไปจากสุคติภูมิ เช่นมนุษยโลกเสียตั้งแต่อายุยังน้อย
หากตายเยี่ยงนักฆ่าผู้ยังไม่อิ่มไม่พอกับการฆ่าฟัน แต่ยังพอมีบุญพยุงไม่ให้ร่วงหล่นถึงนรก
ก็อาจไปเสวยภพของนักฆ่าระดับเดรัจฉานภูมิ เช่น ยุงลาย งูจงอาง หรือพญาราชสีห์ สุดแต่บุญเก่าของแต่ละตนจะตกแต่งให้เป็นนักฆ่ารุ่นเล็ก
รุ่นกลาง หรือรุ่นใหญ่แต่หากตายเยี่ยงนักฆ่าที่เหี้ยมโหดไร้ความ ปรานี กับทั้งไม่มีบุญเก่าพอช่วยพยุง
ก็จัดว่ามีความเหมาะกับสภาพความเป็นอยู่อันเร่าร้อนเช่นนรกภูมิสถานเดียว
๒. ผู้ถือเอาของผู้อื่น มีราคา ๕ มาสก
ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ
ต้องสถานโทษหนัก
ผู้ถือเอาของผู้อื่น
ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเอง หรือใช้ผู้อื่นกระทำ ทำให้เป็นคนไม่มีความยึดมั่นในความสัตย์
และไม่คิดทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ไม่มีความซื่อตรง และมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นคนละโมบโลภมาก
และเป็นคนคดโกง
ผู้ถือเอาของผู้อื่น
ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ เป็นการไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ไม่ให้ความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น และเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น
คนประเภทนี้ถ้ามีในสังคม
สังคมจะไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ไม่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในสังคมจะไม่มีใครคิดและทำเพื่อส่วนรวม
จะไม่รู้จักการแบ่งปันหรือการให้เพื่อคนสังคม ในสังคมจะมีแต่คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ ไม่พร้อมที่จะเสียสละ หรือช่วยปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแน่นอน
๓. ผู้เสพเมถุนนำนิมิตล่วงเข้าไปในทวารหนัก
ทวารเบาร หรือทางปากของผู้ชายหรือผู้หญิง ตลอดจนสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย ต้องสถานโทษหนัก
การเสพทำให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ คือ มีสัมผัสแล้วก็ย่อมเกิดเวทนาตามมาเกิดสัญญา
แล้วมันก็จะต่อเนื่องไปไม่จบ
โดยเฉพาะเรื่อง การเสพเมถุน
เป็นการปล่อยใจ ปล่อยอารมณ์ตามความอยาก ทำให้กิเลสพอกพูน
นำมาซึ่งความเพียรพยายามแสวงหาวัตถุกามมาครอบครองให้มากเท่าที่จะมากได้
ในที่สุดก็กลายเป็นความหลง ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับวัตถุกามนั้นๆ กามคุณเป็นกิเลสร้อยรัดอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่หลุดพ้น
เซ็กและความรัก ทำให้คนเราเกิดทุกข์ เป็น"ห่วง" หรือ "ราหุล"
ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารตลอดไป
บุคคลที่มักเสพเมถุน
มักก่อเรื่องราวแก่คนอื่น ก่อคดี เช่น เมื่อต้องการเสพเมถุนแล้ว
มักหักห้ามใจไม่ได้ จึงก่อคดีข่มขืนที่มีข่าวกันทุกวัน คดีการแย่งชิงคนรัก จนก่อเกิดปัญหาในครอบครัวขึ้น
ทุกวันนี้สังคมเต็มไปด้วยข่าวชู้สาว
ผิดประเวณี เป็นยอดแห่งข่าวทั้งปวง และนับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น สามีภรรยามักจะมีปัญหาเรื่องครอบครัว
เช่น ฝ่ายหญิงไปมีกิ๊ก ฝ่ายชายไปมีเมียน้อย เกิดขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง เนื่องจากความต้องการในการเสพเมถุนของมนุษย์เรานี้เอง
๔. ผู้อุตริมนุสธรรม
อวดรู้ฌานรู้มรรคผลที่ไม่มีในตน ตลอดจนพูดมุสาวาทที่ไม่ใช่ความจริง
กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
ผู้อุตริมนุสธรรม
อวดรู้ฌานรู้มรรคผลที่ไม่มีในตน ตลอดจนพูดมุสาวาทที่ไม่ใช่ความจริง
กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ จะส่งผลให้ติดสุข คือ
การติดเพลินติดใจอยากได้ความสุขความสบาย อันเกิดขึ้นจากอำนาจของญาณหรือองค์สมาธิ ติดปิติ
คือ เป็นความติดใจอยากในความอิ่มเอิบหรือซาบซ่าน ติดอุเบกขา คือ ติดเพลิน ติดใจ
อยากในความสงบ
คนอวดดี
อวดเด่น อวดรู้ อวดฉลาด-แต่ก็ไม่ดีจริง ไม่เด่นจริง ไม่รู้จริง ไม่ฉลาดจริง
ต้นตอรากเหง้าของกิเลสตัวนี้ คือ อวิชชา-ความไม่รู้จริง หรือความบรมโง่ ก็ได้
เกี่ยวพันกับกิเลสหลายตัวมาก เพราะมีหลายระดับ หลายชั้น ตั้งแต่ชั้นหยาบๆ
-ชั้นกลางๆ-และชั้นละเอียดคละเคล้าปะปนกันอยู่มากบ้างน้อยบ้างตามส่วน เช่น 1. กิเลสหยาบ-ชั้นนอก(อุปกิเลส 16)
ปลาสะ-ตีเสมอ (เข้าทำนองอวดเด่น อวดรู้ อวดฉลาดเท่าเทียมกับผู้ที่เหนือกว่า)
สารัมภะ-แข่งดี แย่งดี(ประเภทหน้าใหญ่ใจโต ทำบุญเอาหน้า เอาเด่นกว่าใคร)
มานะ-ถือตัว ถือตนถัมภะ-ดื้อ ด้านอติมานะ-ดูถูก ดูหมิ่น
ดูแคลนคนอื่นอิสสา-อิจฉาริษยาผู้อื่น ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี
2. กิเลสชั้นกลาง(อนุสัย
7-นอนนิ่งอยู่ในใจ พุ่งหรือฟุ้งขึ้นมาบางขณะตามเหตุปัจจัย) ทิฏฐิ-ความเห็นผิด(เห็นผิดเป็นถูก
เห็นถูกเป็นผิด) มานะ-ถือตัว ถือตน ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาภวราคะ-อยากได้ อยากมี
อยากเป็น(อยากให้คนอื่นยกย่อง เชิดชู ให้เกียรติ เห็นว่าตนดี ตนเด่น)
อวิชชา-ความไม่รู้จริง บรมโง่
3. กิเลสชั้นละเอียด(สังโยชน์
10-ทำให้จิตไม่หลุดพ้น) สักกายทิฏฐิ-ติดอัตตา ตัวตน อีโก้สูง
ประมาทหลงเมาตนเองมานะ-ถือตัว ถือตนอวิชชา-ความไม่รู้จริง บรมโง่ผู้ปฏิบัติธรรม
จำนวนไม่น้อยติดหลงอยู่กับกิเลสอวิชชาเหล่านี้ คิดว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว ดีแล้ว
ดีกว่าคนอื่นๆ การแสดงตัวว่ารู้ทั้งๆที่ไม่รู้จริง ก็เป็นการบ่งบอกให้คนอื่นรู้ได้ในที่สุดเองว่า
ตนเองเป็นอย่างไร หรือดีแค่ไหน
ดังนั้น ผู้รู้จริง เขาจึงไม่โอ่อวด
แสดงตนว่ารู้มาก และไม่ตำหนิติเตียนผู้อื่น หากแต่เข้าใจและสงสาร ช่วยได้ท่านก็ช่วย
ช่วยไม่ได้ ท่านก็ปล่อยไปตามเรื่องของแต่ละคนคนสูง(คนดีจริง) ทำตัวต่ำ(สามัญธรรมดา
สมถะ เรียบง่าย ไม่ถือตัว) แต่คนต่ำ(คนชั่ว คนไม่ดีจริง)ทำตัวสูง
(พยายามยืดชูคอให้สูงกว่าปกติธรรมดาเข้าไว้ อวดเบ่ง อวดเก่ง คุยโม้โอ่อวด
ทั้งๆที่ไม่มีดีจะอวด นอกจากความโง่ของตนเท่านั้นเอง)
๕. ผู้ผลิตสุราเมรัยน้ำเมา ตลอดจนยาดองสุราที่ไม่ใช่รักษาโรคโดยตรง
กระทำหรือผลิตเอง หรือใช้คนอื่นกระทำหรือผลิต ต้องโทษสถานหนัก
สุราเมรัยน้ำเมา หรือ เหล้ามิใช่ของคาว
แต่มันเป็นสิ่งเริ่มต้นของบาปกรรมทั้งปวง เหล้าลงคอ ฆ่าสัตว์ ลักขโมย ผิดศีลกาเม
พูดเท็จ เกิดจากจิตใจที่เมามัวหลังสร่างเมาจึงเห็นความเป็นไปที่แน่นอน ต้องหยุดดื่มจึงเรียกศีลหยุด
ไม่ดื่ม ดื่มสุรามีผิดอะไร ทำไมพระพุทธเจ้าจึงให้ถือดื่มสุราเป็นศีลห้ามสิ้นเปลืองเงินทอง
บุญวาสนาถูกลดทอนอย่าดื่มเหล้าและอย่านำเหล้าไปกำนัลคนอื่น ถือศีลข้อนี้ยังซื้อเหล้าแจกอยู่
เกิดห้าร้อยชาติมือกุด เกิดเป็นไส้เดือนกลับจากต่างประเทศอย่าช่วยคนนำเหล้าเข้ามาทุกรากปัญญามืดบอด
ปัญญาหดหาย ปัจจุบันเจ็บป่วยบ่อย กินอาหารได้น้อย ดื่มเหล้าง่ายต่อการเป็นโรคตับ
โรคเบาหวาน โรคไต โรคกระเพาะเพิ่มความโกรธ ต่อสู้แย่งชิง ทำร้าย เข่นฆ่ากามราคะลุกโชติช่วง
ขณะเมาเหล้าธรรมจริยาทุกอย่างหายหมดออกจากบ้านแต่งตัวภูมิฐาน เหล้าเข้าปากผ่านไปสามแก้ว
เมาไม่ได้สติขาดมารยาท ปากพ่นคำหยาบ อาการน่าเกลียดทุกอย่างแสดงออกก่อปัญหาให้ครอบครัวมากมายเปิดเผยความลับ
ธุรกิจล้มเหลว วงการค้าเหมือนสนามรบพอเมาเหล้าเปิดเผยความลับทางการค้าทุกอย่างเป็นลูกจ้างถูกนายจ้างตำหนิให้ออกจากงานหากตัวเองเป็นเถ้าแก่บุญวาสนาไม่พอ
ไม่เกินสองเดือนอาจเจ๊งได้พ่อแม่ไม่ชอบ ครอบครัวบริวารหนีห่าง กลิ่นเหล้ารุนแรง
ผู้คนรังเกียจ ชนรุ่นต่อไปทำตามอย่างทุศีลเจ ทำผิดบาป หลังดื่มเมาแล้วศีลเจอะไรก็ไม่รู้หมด
รักษาไม่อยู่ ไม่เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคารพ คนดีหนีห่าง
ใกล้ชิดคนชั่ว รวมกลุ่มกับคนเมาด้วยกัน คบเพื่อนดื่มเหล้ากินเนื้อสัตว์จิตใจสับสน
ห่างไกลฌานสมาธิ จิตใจไม่สงบ จิตใจฟุ้งซ่าน มักทำผิดคุณธรรม มักเป็นคนผิดหวัง
ทุกข์ สูญเสียเวลา ความเคยชินไม่ดีแก้ยาก ร่างกายทรุดโทรม ชีวิตดับสูญตกนรกอเวจีเพื่อความจำเป็นการรักษาโรคภัย
ยามีส่วนผสมของเหล้าแต่ต้องไม่ถึงกับทำให้เมา ยาทาภายนอกผสมเหล้าได้ยาดองเหล้าบำรุงร่างกายไม่ควรดื่มร่างกายแข็งแรงเกินจะเพิ่มความกำหนัดไม่ดีกรรมสนองจากการผิดศีลสุราเมรัยตกนรก
เกิดเป็นคนโง่เขลา ไม่เชื่อธรรมะ เกิดมาชาติหน้าไม่ฉลาด อ่านหนังสือไม่เข้าใจ ผลจากการถือศีลสุราเมรัยปัญญาแจ่มใส
จิตสงบสุขเกษม ได้เกิดเป็นนักบวช เป็นอาจารย์บรรยายธรรม ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่เผลอเรอถือศีลทั้งสี่ข้อนี้
จะไม่ทำผิดโทษหนัก รักษาศีลฆ่า ลักขโมย กาเม พูดเท็จ
๖. ผู้กล่าวร้ายบริษัท ๔ ใส่ร้ายอาบัติชั่ว
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนศึกษามานะ (สิกขมานา) สามเณรและสามเณรี
โดยไม่มีมูล ด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
มูลรากของการใส่ร้ายมาจากอคติ อคติมีบ่อเกิดมาจากความเกลียดชังและความริษยา
ฉะนั้น ในเบื้องต้นสำหรับคนต้องการถอนตัวจากวงจรใส่ร้าย ก็ควรกำหนดความตั้งใจไว้ตายตัวว่า[หน่วยระบบทำงาน]
แม้จะเกลียดชังหรือริษยาใครอย่างห้ามใจด่าทอไม่ได้ ก็ต้องไม่เผลอพูดถึงเขาคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงที่คุณรู้
คือถ้าอดไม่ได้ที่จะด่าทอหรือนินทา ก็ต้องยืนพื้นอยู่บนข้อมูลที่แน่ใจว่าถูกต้อง ปราศจากการใส่สีตีไข่เสมอ
เมื่อฝึกตนพูดถึงใครๆ ตามจริงโดยไม่บิดเบือนข้อมูลได้สำเร็จ ก็จะสามารถเห็นโทษของจิตใจประทุษร้ายแม้ด้วยทางวาจา
ว่าให้ผลเป็นความทุกข์ ความอึดอัด ความคับข้องแก่ตนเอง
จิตคุณจะอยากขยับขึ้นมาอีกขั้น คือไม่พูดว่าร้ายใครเลย
เพื่อความปลอดโปร่งจากภัยเวรอย่างสิ้นเชิง หากต้องตำหนิใครก็จะอยู่ในกรอบของระบบหน้าที่การงาน
ตำหนิด้วยใจเป็นกลาง หวังประโยชน์ส่วนรวม และเป็นไทจากอคติทั้งปวง
คำพูดนั้นสำคัญมาก
บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปี
คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตายก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ
มีเรื่องเดือดร้อนพระท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา
ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบ มันก็จะไม่มีเรื่องกัน แต่ถ้าไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา
เพราะนั่นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่ถ้าไปพูดเข้าเมื่อไหร่ กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง
คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่น รวมไปถึงการพูดไม่ดีต่างๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก
เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป
ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจแก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอๆ
ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมีโชคลาภ กรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี
เหมือนอย่างเขาผู้นั้นซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55
หรือ 57 บางทีก็ติดต่อการค้าหรืองานต่างๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้าง ไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่างๆ
มาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอๆ ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควรได้ประมาณเป็นล้านๆ
เขาก็จะได้แค่หมื่นสองหมื่น หรือโชคครั้งนี้จะได้หลายหมื่นแต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาท
หรือเพียงได้ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดี และรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลานเขาเหล่านั้นก็จะทำความเดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูง ก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษ ด่าว่าทะเลาะวิวาท ทำให้ไม่สบายกายไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
มีเรื่องเดือดร้อนต่างๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้น มีลูกหลานก็จะดื้อด้าน
ว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อนให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด
ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพนับถือ ลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเอง มักจะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หาย
เช่น อัมพฤต อัมพาต มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ
และโรคร้ายต่างๆ อีกมากมายหลายชนิด หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่า กรรมทางวาจามีผลร้ายแรงมาก การที่เราพูดใส่ร้ายหรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและเสียใจหรือไปพูดทำลายความหวังต่างๆ
ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสีย ถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้ พอตายลงไปยังต้องไปใช้กรรมยังนรกตามขุมต่างๆ
อีก ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร" ความหมายว่าคนดีไม่ตีใคร ไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็งๆ ไปตีเขา แต่ท่านไม่ให้พูดจาไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหายและ
"ทุกข์ใจ"
๗. ผู้ยกตนข่มท่าน ติเตียนนินทาภิกษุอื่น
ยกย่องตนเองเพื่อลาภด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
การพูดยกย่องตัวเองและข่มผู้อื่น พูดทับถมผู้อื่นแสดงให้เห็นว่าตัวเหนือกว่า.การพูดวาจากระทบกระเทียบ
เสียดสี พูดว่าร้าย เกิดจากจิตที่เป็นอกุศล แม้คฤหัสถ์ยังไม่ควรทำ
ไม่ต้องกล่าวถึงเพศบรรพชิตที่เป็นเพศที่ขัดเกลากิเลสทุกทาง ย่อมไม่สมควรพูด
พระพุทธองค์ได้ปรับอาบัติสำหรับพระภิกษุที่ใช้คำด่าว่า เสียดสีกับภิกษุรูปอื่นว่าเป็นอาบัติ
การยกตนข่มผู้อื่นเป็นทางออกของคนที่มีปมด้อย
และมีความรู้สึกต่ำต้อยกว่าคนอื่น จึงพยายามแสดงออกถึงสิ่งที่คิดว่าเป็นจุดเด่นของตัวเอง
แต่แสดงออกในเชิงโอ้อวด เพื่อลดความรู้สึก ด้อยในใจ
และยกความสำคัญของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมักสร้างความรำคาญใจให้คนรอบข้าง
เป็นนิสัยที่ทำลายสัมพันธภาพ และอาจก่อให้เกิดศัตรูได้
ไม่มีใครที่ชอบฟังคำพูดเชิงยกตัวเหนือคนอื่น
อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ยิ่งพูดในลักษณะข่มผู้อื่นด้วยแล้ว ยิ่งสร้างความรู้สึกไม่เป็นมิตรให้เกิดขึ้นได้ง่าย
แต่ถ้าจะแก้ไขได้ ต้องอาศัยคนที่มีอำนาจสูงกว่า หรือคนที่มีบุญคุณและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า
เป็นผู้ตักเตือนด้วยความเมตตาและหวังดี ส่วนคนรอบข้างก็อาจช่วยปรับพฤติกรรมด้วยการไม่สนใจ
ไม่แสดงความชื่นชม ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการเสริมแรงให้นิสัยดังกล่าวคงอยู่ต่อไป
สำหรับคนที่มีนิสัยชอบยกตนข่มท่าน
ก็คงต้องพยายามปรับปรุงตัวเองด้วย อาจใช้วิธีเตือนสติ
บอกย้ำกับตัวเองว่าคุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณมีดีอะไร ไม่จำเป็นต้องแสดงให้คนอื่นรู้
ให้เขารับรู้ด้วยตัวเองหรือรับรู้จากคนอื่น จะเพิ่มความนิยมชมชอบได้มากกว่า
แต่ถ้าไม่มีใครรู้ก็มิใช่เรื่องที่คุณจะต้องไปแคร์ ถ้าคุณแคร์แสดงว่าคุณให้ความสำคัญกับคนอื่นมาก
จนยอมให้คนอื่นมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของคุณ ให้พยายามสร้างความรู้สึกพอใจ เต็มอิ่มและภาคภูมิใจกับสิ่งที่คุณเป็น
และสิ่งที่คุณมีอยู่ อย่าดูถูกตัวเอง เพราะคนที่ดูถูกตัวเองก็มักจะคิดว่าคนอื่นจะดูถูกคุณไปด้วย
๘. ผู้ตระหนี่เหนียวแน่น ไม่มีมุทิตาจิต
ตลอดจนไม่เอื้อเฟื้อต่อผู้ยากจนขอทาน กลับขับไล่ไสส่ง กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ
ต้องสถานโทษหนัก
ความตระหนี่เหนียวแน่น
หวงแหนในทรัพย์และความดีของตน ไม่ยอมเสียสละให้แก่ผู้อื่น ซึ่งมีหลายอย่างด้วยกันคือ
การตระหนี่หวงแหนที่อยู่อาศัย ที่หลับนอน เช่น มีญาติเดินทาง มาจากต่างจังหวัด ขอพักอาศัยสัก
๒-๓ วัน ก็ไม่ให้อาศัย การหวงลาภที่ได้มาไม่ยอมแบ่งปัน เช่น วันปีใหม่
บางคนได้ของขวัญมาเยอะ แต่เก็บไว้คนเดียวแทนที่จะแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง การตระหนี่ในตระกูล
ไม่ยอมให้คนอื่นร่วมใช้ กลัวคนอื่นจะมาทำให้ตระกูลตกต่ำไป
การตระหนี่ในวรรณะคือความงาม
ต้องการให้ตนงามเพียงคนเดียว ไม่ยินดีในความงามของคนอื่น รวมถึงการตระหนี่ในธรรมด้วย
โดยไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ตามที่ตนรู้ ซึ่งล้วนแต่ทำให้จิตใจเร่าร้อน เพราะกลัวคนอื่นจะมาเบียดเบียนในทรัพย์
และคุณความดีของตน แม้เป็นเศรษฐีร่ำรวยเงินทอง ต้องขึ้นไปหุงข้าวมธุปายาสบนยอดปราสาท
เพราะกลัวคนอื่นเห็นเข้าจะมาขอกิน
การอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคมหนึ่งนั้น
ต้องอาศัยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งการที่สมาชิกในสังคมคิดและทำเพื่อส่วนรวม
รู้จักการให้เพื่อสังคม ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ พร้อมที่จะเสียสละหรือช่วยปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม พฤติกรรมการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นี้เป็นสิ่งสำคัญในสังคมที่จะทำให้สังคมอยู่อย่างสงบสุข
สันติและมีความเจริญก้าวหน้า รวมถึงประเทศชาติด้วย สำหรับส่วนตัวของบุคคลแล้ว
การให้ หรือการรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะส่งผลให้ใจเป็นสุขเมื่อได้ให้
หรือใจเป็นสุขเมื่อทำให้ผู้อื่นมีความสุข ทำให้คนๆ นั้น
เห็นคุณค่าในตนเองในการทำดี แบ่งปันสิ่งที่รักที่ชอบให้เพื่อนๆ และผู้อื่น และจะมีความยุติธรรมในจิตใจ
เมื่อเกิดสถานการณ์การแย่งชิง คนที่มีพฤติกรมการแบ่งปัน
และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะได้รับการยอมรับจากสังคม มีความเห็นอกเห็นใจและจะแสดงความเห็นอกเห็นใจได้
เมื่อประสบกับเหตุการณ์ เช่น คนได้รับความทุกข์ก็จะเข้าไปช่วยเหลือหรือปลอบโยน การพึ่งพาอาศัยผู้อื่นให้ช่วยเหลือ
เอาใจใส่ดูแล ซึ่งคนๆ นั้นจะมีความพอใจช่วยเหลือแบ่งปันเพื่อนๆ เสมอ
ไม่เกิดความรู้สึกหวงข้าวของ
๙. ผู้มุทะลุฉุนเฉียว ตลอดจนก่อการวิวาท
ใช้มีด ใช้ไม้ ใช้มือทุบตีภิกษุอื่น กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
ยกตัวอย่าง เรื่องของกฎแห่งกรรม ของชีวิตคนคนหนึ่งที่ได้ประสบมากับชีวิตของตนเอง
จากการที่เป็นผู้มุทะลุฉุนเฉียว คือ ชายคนหนึ่งเป็นลูกชาวนา ต้องทำนาตามพ่อแม่ปู่ย่า
ที่เคยทำมา พอหมดฤดูทำนา ก็หาทำงานรับจ้าง ทั่วไป และในตอนเป็นหนุ่มก็ได้ไปฝึกซ้อมชกมวย
กับเพื่อนๆ ที่พอจะฝึกจะสอนชกมวยให้ ก็เลยมีอาชีพชกมวยอีกอาชีพหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นงานบุญงานวัด
ที่เขาจัดให้มีการชกมวยผมก็มักจะไปหาคู่ชก เพื่อหาเงิน เที่ยวงานบุญนั้นอยู่เป็นประจำเสมอมา
พูดถึงนิสัยใจคอของเขา แต่ก่อนนี้ เป็นคนนิสัยมุทะลุโมโหง่าย อารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิดขี้รำคาญ
ราวปี พ.ศ.๒๕๑๖ ตอนนั้นกำลังเป็นหนุ่ม อายุราว ๑๘ ปี ในปีนั้น หลังจากที่ได้ทำนา กับครอบครัว
จนถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ได้ตีข้าว นวดข้าว จากลอมลาน จนเสร็จดีแล้ว ผมก็ได้นำเอาวัวมาเทียมเกวียน
เพื่อจะขนเอาข้าวจากลานไปสู่เล้าสู่ฉาง ในวันนั้น หลังจากที่ขนข้าวขึ้นสู่เกวียนจนเต็มเกวียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก็ได้นำเอาวัวคู่นั้นมาเทียมเกวียน เพื่อลากเกวียนขนข้าว ไปตามเส้นทางเข้าสู่หมู่บ้าน
ขณะที่วัวคู่นั้นลากเกวียน มาถึงถนนที่มีทรายมากๆ วัวก็ไม่สามารถลากเกวียน ฝ่าถนน
ที่มีทรายลึกนั้นไปได้ วัวทั้งสองเลยพากันก้มหัวปลดแอกออกจากคอเอง แล้วก็หันหน้ามาชนกัน
พอเขาเห็นวัวทำอย่างนั้น เขาก็โกรธมาก จึงจับเอาเชือกของวัวทั้งสองมาผูกไว้ แล้วก็เอาไม้เกวียนมาตีกระหน่ำลงไป
บนหลังของมันทั้งคู่ อย่างสุดแรงของเขา พอเขาตีมันทีไร มันก็จะส่งเสียงร้อง อย่างโหยหวน...โอ๊ก...อุ๊ก...โอ๊ก...อุ๊ก...ในใจของชายคนนั้นก็คิดไปว่า
มันร้องเยาะเย้ย จึงตีซ้ำไปอีกตัวละหลายที
คราวนี้เห็นวัวทั้งคู่น้ำตาไหลพรั่งพรูเป็นสาย เลยคิดว่า มันคงจะยอมแล้วล่ะ จึงได้หยุดตีมัน
ซึ่งหลังของมันคงจะเจ็บและช้ำมาก จากนั้น ก็จับทั้งคู่เอามาเทียมเกวียน
คราวนี้พวกมันแทบจะพาเกวียนเหาะไปเลย
เขาได้ทำกรรมกับวัวคู่นั้นแล้ว
ก็ไม่คิดถึงเรื่องบาปกรรมอะไร ก็เป็นธรรมดาของคน และสัตว์โลก ทั่วไป ผู้ที่ฉลาดเฉโกกว่า
ย่อมเอาเปรียบข่มเหงคะเนงร้าย กับผู้ที่โง่เขลากว่า ในใจของชายคนนั้นคิดว่าวัวหรือควายเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
หากเอามาใช้การใช้งาน หากใช้ไม่ได้ดั่งใจเรา การตีการฆ่าย่อมเป็นของธรรมดาของคนที่มีอำนาจกว่าสัตว์
โดยที่เขาลืมคิดไปว่า ใจเขา...ใจเรา....มันคงไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่ว่า เขาพูดไม่ออก
เขาบอกไม่ได้เท่านั้น ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ถัดมาจากปีที่ตีวัวมาอีก ๒ ปี รอยเกวียนรอยกรรม
หมุนวนหมุนเวียนวิบากกรรม ที่เคยทำเอาไว้ มันก็ได้หมุนวนเข้ามาสู่ชีวิตของเขาในปีนั้น
วัดในชนบทใกล้บ้านจัดให้มีงานบุญประจำปี
และมีการชกมวยการกุศลขึ้น เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ขึ้นชกมวย เป็นมวยคู่ที่ ๓
พอขึ้นชกไปได้ยกที่ ๒ ระฆังดังขึ้น เขาก็เข้าไปชกกับคู่ต่อสู้ มีอยู่ครั้งหนึ่งในยกนั้น
เขาได้เข้าไปกอดรัดคู่ต่อสู้ เพื่อตีเข่า แต่เขากลับโดนคู่ต่อสู้จับทุ่มลงสู่พื้นเวที
อย่างแรง ผลปรากฏว่า หลังของเขากระแทกกับพื้นเวทีมวยอย่างแรง ทำให้เขาเจ็บปวดเป็นอันมากจนลุกไม่ขึ้น
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
เขารู้สึกเจ็บหลังเรื่อยมา จนมาปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เขาก็ได้แต่งงานกับสาวงามในหมู่บ้านเดียวกัน
ในระยะที่เขาแต่งงานกำลังมีความสุขนั้นเอง ก็มีอาการเจ็บปวดที่หลังมากขึ้น เจ็บที่สันหลังดันเข้าไปสู่หน้าอก
เจ็บปวดมาก จนกินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ป่วยอยู่ที่บ้าน ทนทุกข์ทรมานอยู่ถึง ๓
เดือน จนเขาคิดว่าหากรักษาหยูกยาตามมีตามเกิดอยู่ที่บ้านก็คงจะต้องตายแน่ๆ เลยตัดสินใจให้เมียและญาติพี่น้องพาส่งโรงพยาบาล
และก็มานอนเจ็บป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครึ่งเดือน หมอเลยผ่าตัด
ในขณะที่นอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล เขาคิดไปถึงกรรมของตนว่า นี่แหละหนอ ผลกรรมที่เคยทำเอาไว้กับวัวในครั้งนั้น
(จากพระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๓๗
"สพฺพฺ มิทํ กมฺมโตติกถา" ข้อที่ ๑๗๐๐ ใจความว่า "โลกเป็นไปเพราะกรรมหมู่สัตว์เป็นไปเพราะกรรม สัตว์ทั้งหลายมีกรรม เป็นเครื่องกระชับ
เหมือนลิ่มสลักแห่งรถ ที่แล่นไปอยู่ฉะนั้น
๑๐.
ผู้ประทุษร้ายต่อพระรัตนตรัย กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก
พระรัตนตรัย หมายถึง ดวงแก้วอันประเสริฐ 3 ประการ ซึ่งถือเป็นดวงมณีอันล้ำค่าของชาวพุทธ เป็นหลักที่เคารพบูชาสูงสุดของพุทธศาสนิกชนรวมทั้งยังเป็นโครงสร้างสำคัญของพระพุทธศาสนา ได้แก่
1. พระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ตรัสรู้เองและสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม
2. พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักความจริงที่นำมาเป็นหลักความประพฤติ
3. พระสงฆ์ คือ หมู่สาวกผู้ปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
คุณของพระรัตนตรัย
1. คุณของพระพุทธเจ้า พระปัญญาคุณ (ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง) พระบริสุทธิคุณ
(ปราศจากกิเลส) พระกรุณาคุณ (มีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก)
2. คุณของพระธรรม พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฎิบัติไม่ให้ตกไปสู่ความชั่ว พระธรรมเป็นสัจธรรมให้ผลแก่ผู้ปฎิบัติตามที่ปฎิบัติ
3. คุณของพระสงฆ์ เป็นผู้ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
และสอนให้ผู้อื่นกระทำตามเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา
สรณะสูงสุดอันเกษมของพวกเราทั้งหลาย
คือ พระรัตนตรัย ที่ประชุมรวมอยู่ภายในตัวของเราทุกคน ไม่ได้อยู่นอกตัว
เมื่อเราแสวงหา สรณะหรือที่พึ่งชนิดนี้ ต้องรู้จักวิธีที่จะเข้าให้ถึง
โดยการทำใจให้หยุดให้นิ่ง ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ หยุดลงไปตรงที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
อย่างเบาสบาย ฝึกทำบ่อยๆ ทำให้สม่ำเสมอ ยิ่งใจของเราสะอาดบริสุทธิ์
จะเข้าไปพบกับพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นผู้รู้ผู้บริสุทธิ์ภายในได้เร็วยิ่งขึ้น
เมื่อเราประสบทุกข์ เราก็พึ่งท่านได้ จะทำให้มีแต่ความสุข สดชื่นเบิกบานนี้คือ ที่พึ่ง
ที่ระลึกอย่างแท้จริงของเราและมวลมนุษยชาติตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ผู้ประทุษร้ายต่อพระรัตนตรัย
กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ จะเกิด
1. กัมมสัทธา
เชื่อว่าเมื่อเราทำอะไรโดยมีเจตนาหรือมีความจงใจที่ดีหรือไม่ดี ย่อมเกิดกรรมดี หรือกรรมชั่วตามเจตนา และเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลดีหรือผลร้ายสืบเนื่องตามมา
2.วิปากสัทธา เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่าการกระทำที่สำเร็จลงไปต้องมีผล และย่อมต้องมาจากเหตุ ผลที่ดีเกิดจากการกระทำที่ดีและผลชั่วร้ายเกิดจากการกระทำไม่ดี
3. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน คือเชื่อว่าคนแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบหรือเสวยวิบากกรรมที่ตนเองทำไว้เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า "กรรมใด ใครก่อกรรมนั้น ย่อมสนอง"
4.
ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นจริง คือมีความเชื่อในพระคุณทั้ง 9
ประการของพระพุทธองค์ ตรัสธรรม และบัญญัติพระธรรมวินัยไว้ดีแล้ว ทรงแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงความจริงอันประเสริฐได้ด้วยการฝึกตนด้วยดี
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระศาสดาองค์แรกที่ทรงประกาศ
“ศีล” หรือข้อห้าม ให้ชาวชมพูทวีปในครั้งพุทธกาลได้ทราบทั่วกัน
สำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ที่มีมากมายในขณะนั้นยังไม่มีกฎ ข้อห้ามที่ชัดเจน นักบวชในครั้งพุทธกาลเก็บผลไม้กินเอง
ประกอบอาหารกันเอง ทานอาหารวันละหลายครั้ง รับเงินรับทอง แสวงหาลาภด้วยกิริยาอาการไม่ดีไม่งามต่างๆเมื่อพระองค์ทรงประกาศหลักปฏิบัติ
แนวทาง คือ “ศีล” ให้พุทธบริษัท ๔
อันประกอบด้วยพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติแล้ว
พระองค์ก็ทรงสั่งสอนให้ชาวพุทธยึดมั่นรักษาศีลเอาไว้ให้ดี
ให้เป็นแบบฉบับเฉพาะของชาวพุทธ อุบาสก อุบาสิกา ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน ๔
ของพุทธบริษัท จึงควรปฏิบัติรักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีลอุโบสถ
โดยให้ทุกคนถือเอาศีลเป็นแนวทาง เป็นปทัฏฐานในการดำรงชีวิต
ศีล มีความสำคัญต่อความเป็นมนุษย์ของคน
คนกับมนุษย์จะมีความเหมือนกันเพียงร่างกายแต่จะแตกต่างกันที่มีศีล
คนถ้าไม่มีศีลก็จะไม่แตกต่างจากสัตว์ทั่ว ๆ ไป อาจร้ายกว่าสัตว์ด้วยซ้ำ
ศีลจะทำคนให้เป็นมนุษย์ได้ เพราะ มนุษย์ แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง คนที่ไม่มีศีลเป็นคนจิตใจต่ำจะเป็นมนุษย์ไม่ได้
คนที่จะเป็นมนุษย์ได้จะต้องเป็นคนมีศีลควบคุมกำกับจิตใจตลอดเวลา หลักมนุษยธรรม
คือธรรมอันทำให้คนเป็นมนุษย์ ก็คือ “ศีล” นั่นเอง
ดังนั้น ศีลเป็นวิธีบำเพ็ญตนของพระโพธิสัตย์
คือ พระโพธิสัตว์
จะต้องไม่เป็นผู้ฆ่าชีวิตมนุษย์ให้ตายด้วยมือตนเอง
หรือใช้ผู้อื่นกระทำหรือใจสมรู้ ตลอดจนฆ่าชีวิตสัตว์เล็กใหญ่ให้ตาย ไม่ถือเอาของผู้อื่น
ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่เสพเมถุน
ไม่อวดอุตริมนุสธรรม อวดรู้ฌานรู้มรรคผลที่ไม่มีในตน ตลอดจนพูดมุสาวาทที่ไม่ใช่ความจริง
กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่ผลิตสุราเมรัยน้ำเมา ตลอดจนยาดองสุราที่ไม่ใช่รักษาโรคโดยตรง
กระทำหรือผลิตเอง หรือใช้คนอื่นกระทำหรือผลิต ต้องโทษสถานหนัก ไม่กล่าวร้ายบริษัท
๔ ใส่ร้ายอาบัติชั่ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนศึกษามานะ (สิกขมานา) สามเณรและสามเณรี
โดยไม่มีมูล ด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่ยกตนข่มท่าน ติเตียนนินทาภิกษุอื่น
ยกย่องตนเองเพื่อลาภด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่ตระหนี่เหนียวแน่น ไม่มีมุทิตาจิต
ตลอดจนไม่เอื้อเฟื้อต่อผู้ยากจนขอทาน และไม่ขับไล่ไสส่ง กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ
ไม่มุทะลุฉุนเฉียว ตลอดจนก่อการวิวาท ใช้มีด ใช้ไม้ ใช้มือทุบตีภิกษุอื่น กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ
ไม่ประทุษร้ายต่อพระรัตนตรัย กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ซึ่งการบำเพ็ญตนดังกล่าวจะต้องต้องโทษสถานหนัก
ไม่สามารถบำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อการบรรลุพระโพธิญาณในอนาคตหรือประโยชน์ตนเอง
(อัตตัตถะ) ได้
บรรณานุกรม
ปัญญา ใช้บางยาง. พระโพธิสัตว์ เป็นมาอย่างไร?. พิมพ์ครั้งที่ 6 กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์รติธรรม, ๒๕๔๘.
ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน.
กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์อักษรสมัย. 2543.
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตนครศรีธรรมราช. เอกสารประกอบการเรียนการสอบ เปรียบเทียบเถรวาทกับมหายาน. พิมพ์ครั้งที่ 1 นครศรีธรรมราช : โครงการพุทธศาสตรบัณฑิต สำหรับพระสังฆธิการและครูสอนพระปริยัติธรรม, ๒๕45.
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน,
พิมพ์ครั้งที่ 3, ราชบัณฑิตยสถาน, 2552.
เสถียร โพธินันทะ.
ปรัชญามหายาน. กรุงเทพมหานคร :
มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2555.
สุสักษณ์ ศิวรักษณ์. ความเข้าใจในเรื่องมหายาน. พิมพ์ครั้งที่
2 กรุงเทพมหานคร : บริษัทส่องศยาม จำกัด, ๒๕45.
สุวิญ รักสัตย์.
พระพุทธศาสนามหายาน. พิมพ์ครั้งที่ 2
กรุงเทพมหานคร
: ห้างหุ้นส่วนจำกัด บางกอก บล็อก,
๒๕55.
http://anamnikay.is.in.th/?md=content&ma=show&id=18
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น