วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดหรือความทุกข์


การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดหรือความทุกข์
 
ว่าที่ร้อยตรี สมโภชน์  สุวรรณรัตน์
รหัส  5630150132028
 
นักจิตวิทยาหลายท่านยอมรับว่า ความเครียดถือเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตที่สำคัญที่สุดในโลกเพราะว่าความเครียดจากความวิตกกังวลจะทำให้ไม่มีความสุข ความไม่สบายใจ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ทางร่างกายตามมา เช่น ปัญหานอนไม่หลับ แผลในกระเพาะอาหาร โรคเบาหวานกำเริบ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคเริมที่อวัยวะเพศกำเริบ โรคหอบ และโรคมะเร็ง ความเครียดทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง จากการขาดงาน ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และผลของการทำงานลดน้อยลง ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และเป็นเหตุชักจูงให้บุคคลปรับตัวในทางที่ผิด บางคนหาทางระบายความเครียดด้วยการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ติดยาเสพติดให้โทษ หลายคนหมกมุ่มอยู่กับการพนัน มีชีวิตเสี่ยงกับโชคลาภ มีบางคนที่ต้องตัดสินใจคิดสั้นทำอัตวินิบาตกรรมฆ่าตัวตาย จึงทำให้มองเห็นผลกระทบจากความเครียดต่อสภาพจิตใจและร่างกาย การปรับตัวต่อความเครียด และการแสวงหาแนวทางเพื่อส่งเสริมการปรับตัวที่ดี จะช่วยสร้างสรรค์ส่งเสริมให้คนสามารถแก้ปัญหาความเครียดนั้นๆ ได้
ความหมายและบ่อเกิดของความเครียดหรือความทุกข์
          ความเครียดเป็นสถานการณ์ที่คับแค้นที่มีผลทำให้เกิดความกดดันทางอารมณ์ความเครียดจะเกิดเกี่ยวกับความวิตกกังวล บางครั้งความเครียดอาจจะเกิดขึ้นกับร่างกาย เมื่อมีการใช้พลังงานมาก และมีการเปลี่ยนแปลงต่อขบวนการทางสรีรวิทยาของร่างกาย โดยเฉพาะสภาวการณ์ที่มีความเสี่ยงมีลักษณะถูกคุกคามสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทำให้เกิดความรู้สึกลำบากใจ จำเป็นต้องหาทางออกหรือข้อแก้ไข ซึ่งบ่อเกิดของความเครียดมีหลายสาเหตุ เช่น
          . ความเครียดที่เกิดจากสาเหตุทางร่างกาย เช่น การเจ็บป่วย การมีโรคประจำตัว รวมทั้งการพิการหรือการสูญเสียอวัยวะที่เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต มีผลกระทบต่อชีวิตครอบครัว และอาชีพทำให้ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น นอกจากนั้น ความเครียดอาจเกิดจากความต้องการทางร่างกายตามธรรมชาติและเกิดจากสภาพแวดล้อมการทำงานในชุมชนที่ต้องเสี่ยงกับการบาดเจ็บและการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
          . ความเครียดที่เกิดจากความต้องการทางจิตใจ ประกอบด้วยความคับข้องใจและความขัดแย้งในใจเพราะความคับข้องใจจัดว่าเป็นความเครียดที่เกิดจากส่วนจิตใต้สำนึกของสภาพจิตใจและมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนมากที่สุด จะเห็นได้ว่า คนที่มีความคับข้องใจ ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน อยากจะปฏิรูปสังคมอยากจะให้ตนมีอำนาจวาสนา อยากจะให้พรรคพวกของตนได้รับการยอมรับ เมื่อคนเรามีความต้องการแล้วความต้องการนั้นไม่ได้รับการตอบสนอง ทำให้คนผิดหวัง เกิดความล้มเหลวจากการกระทำ จึงมีความรู้สึกเสียหน้าทำให้เกิดความเครียดเพราะเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี
          . ความเครียดที่เกิดจากสังคมและสภาพแวดล้อม ในภาวะความเครียดที่ทำให้เกิดความกดดันได้ง่ายเช่น การก่อเหตุจลาจลทางการเมือง ความร้อน ความหนาว เสียงดังที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ความเหม็นหรือการอยู่ในที่คับแคบ ความเงียบ ความมืดและภัยคุกคาม ภัยพิบัติน้ำท่วม ไฟไหม้ ความเครียดในที่ทำงานเนื่องจากภาวะกดดันจากผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ล้วนมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ สภาพจิตใจอย่างหนักต่อผู้ที่ได้รับความเครียด หากจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมทางกายภาพเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเครียดเพิ่มมากขึ้น ส่วนสิ่งแวดล้อมของสังคมชุมชน มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนแออัด มีอาชญากรรมมาก คนในชุมชนติดยาและสารเสพติดให้โทษ หากบุคคลต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็จะมีปัญหาในการปรับตัวทางด้านจิตใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสาเหตุเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
          . ความเครียดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของชีวิตจากผลการวิจัยของโฮล์มกับราเฮ


พบว่า ความเครียดต่อเหตุการณ์ในชีวิตที่กลุ่มตัวอย่างจัดลำดับไว้มี ๔๓ รายการ เรียงจากลำดับแรกที่มีความเครียดสูงที่สุด สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่นั้น การตายของคู่ครองคู่สมรสหรือญาติ ผู้ใกล้ชิดถือว่าเป็นความเครียดรุนแรงที่สุดของชีวิต รองลงมาคือการหย่าร้าง การแยกกันอยู่ การถูกจำคุก การตายของญาติ การเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุ ปัญหาชีวิตสมรส การออกจากงาน การมีปัญหาทางเพศ ทั้งวัยรุ่นก็มีลำดับของความเครียดคล้ายคลึงกับผู้ใหญ่ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงของอายุ ในแต่ละช่วงวัยคนจะเผชิญกับปัญหาความเครียดที่แตกต่างกัน เช่น สามีหรือภรรยาเสียชีวิต เปลี่ยนหน้าที่การงาน หย่าร้าง ลูกแยกจากครอบครัวไปอยู่ที่อื่น แยกกันอยู่กับสามีหรือภรรยา มีปัญหากับเขยหรือสะใภ้ การตายของคนในครอบครัว ได้รับการยกย่องในความสำเร็จ เข้าพิธีแต่งงาน ภรรยาเริ่มทำงานหรือออกจากงาน ถูกให้ออกจากงาน  เริ่มเข้าเรียนหรือสำเร็จการศึกษา คืนดีกับคู่ที่เคยแยกทางกัน ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่าง เกษียณอายุการทำงาน  มีปัญหากับหัวหน้างาน ความเจ็บป่วยของคนในครอบครัว เปลี่ยนชั่วโมงการทำงาน การตั้งครรภ์ การย้ายที่อยู่อาศัย มีปัญหาทางเพศสัมพันธ์ การย้ายสถานที่เรียน มีสมาชิกเพิ่มในครอบครัว เปลี่ยนแปลงวิธีการพักผ่อน การเปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงิน เปลี่ยนกิจกรรมทางสังคม การเสียชีวิตของเพื่อนสนิท เปลี่ยนแปลงเวลานอน การเปลี่ยนงาน จำนวนคนในบ้านเปลี่ยนไป ทะเลาะกับสามีหรือภรรยา เปลี่ยนนิสัยการกินอาหาร ถูกยึดทรัพย์ที่จำนองไว้ การมีวันหยุดหรือเวลาว่าง การฝ่าฝืนกฎระเบียบบางอย่าง เป็นต้น สำหรับความเครียดของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่มีการจราจรแออัด ฝนตกรถติด บางคนรู้สึกท้อแท้ หดหู่ ไม่อยากออกจากบ้านไปไหน แต่บางคนรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานในการเดินทางท่ามกลางคนหมู่มากในปัจจุบันตัวเร่งเร้าของความเครียดมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เป็นต้นว่า ค่าครองชีพสูงขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อากาศเป็นพิษ อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ภาวะความรู้สึกโดดเดี่ยว สังคมอยู่แบบตัวใครตัวมัน

อย่างไรก็ตามคนเรามักเชื่อถือว่า ความเครียดคือภัยร้ายความเครียดคือมะเร็งทางอารมณ์ ความเครียดเป็นต้นเหตุให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง แต่อันที่จริงคนเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดถือวิกฤตเป็นโอกาส ให้เกิดการตระหนักรู้ว่า ความเครียด ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทางการเมือง ทำให้เราเกิดแหล่งการเรียนรู้ประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น ความโหดร้ายในสังคม ทำให้คนไทยเกิดความรัก ความเห็นใจกันและกัน ความเครียดสามารถทำให้เกิดแรงกระตุ้นประสิทธิภาพในการทำงานได้ หากศึกษาจากประวัติศาสตร์เราจะพบว่านายทหารในสมัยโบราณที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถรบชนะข้าศึกศัตรูได้ก็เพราะ เขามีขันติความอดทนในการที่จะเอาชนะสิ่งนั้น คือความเครียด การกีฬาเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เราเห็นว่า ความเครียดมีประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพได้ การวิ่งออกกำลังกาย ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้นจนเพียงพอแก่การรับมือกับปัญหาทางกายภาพ และความเครียดที่เกิดแก่หัวใจเราเองเราอาจจะพูดกันเรื่องลดความเครียดในที่ทำงาน แต่ความเครียดเองเช่นกันที่กระตุ้นให้เราอ่านหนังสือ กระตุ้นให้เราทำงานดีขึ้น รวมทั้งบังคับให้ขับรถยนต์อย่างระมัดระวัง ดังนั้น สรุปได้ว่าความเครียดในระดับอ่อนจนถึงปานกลางเป็นสิ่งที่กระตุ้นการทำงานของเราให้มีประสิทธิภาพประสบความสำเร็จดีขึ้น จึงควรมีท่าทีอยู่กับความเครียดด้วยความเข้าใจและปรับตัวพัฒนาบุคลิกภาพอย่างสมดุล

          ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดนั้น ตามแนวคิดเชิงพุทธให้ความสำคัญต่อกลไกทางจิตในการปรับตัวเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกหรือในระดับภวังคจิต เพราะจิตมนุษย์นั้นดิ้นรน กวัดแกว่งควบคุมยาก ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสพุทธภาษิตกล่าวถึงลักษณะของจิตไว้ว่า ลักษณะจิตมนุษย์ ดิ้นรน แกว่งไกว ป้องกันยาก ห้ามยาก จิตดิ้นรนเหมือนปลา ถูกโยนขึ้นไปบนบก มีแต่จะดิ้นรนลงน้ำถ่ายเดียว จิตควบคุมยาก เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ใฝ่ไปในอารมณ์ที่น่ารัก น่าใคร่ จิตเห็นได้ยาก ละเอียดอ่อน แส่ไปในอารมณ์ใคร่และจิตท่องเที่ยวไปได้ไกล เที่ยวไป ดวงเดียว ไร้รูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างกาย ดังนั้น ลักษณะจิตดังกล่าวนี้ พระพุทธองค์จึงได้สอนให้รักษาจิตควบคุมจิตฝึกจิตให้สงบ เมื่อจิตสงบแล้ว ทุกอย่างก็จะสงบไปหมด ผู้มีสติปัญญาพึงรักษาจิต เพราะจิตที่อบรมดีแล้วนำสุขมาให้ ดังนั้น กลไกทางจิตในการปรับตัว เมื่อคนเราเกิดความเครียดก็จำเป็นต้องปรับตัวให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อรักษาระดับความสมดุลทางจิตใจเอาไว้ ทำให้สภาพของความเป็นตัวของตัวเองดำรงอยู่ต่อไป คนที่ไม่เคยพัฒนาจิตตนเอง จะปรับตัวไม่ได้อาจจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป เช่น รู้สึกตนเป็นคนมีปมด้อย ตนเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ รู้สึกด้อย ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง การยอมรับตนเองลดลง หากเกิดอาการรุนแรงเป็นเอามากก็จะทำให้ชีวิตสับสนวุ่นวาย ความคิดเกี่ยวกับตนเองเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ มีโอกาสเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่อาการทางจิตประสาทและความผิดปกติของพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ด้านอื่นๆ ก็จะตามมา ซึ่งสอดคล้องกับงานของประยูร สุยะใจ[1] อ้างใน ซิกมันต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับกลไกป้องกันตัวที่สำคัญ ได้แก่

. Repression การเก็บกด เกิดจากความปรารถนาถูกขัดขวางและบังคับให้หมดไปจากจิตสำนึก เช่น การที่คนมองโลกในแง่ดีตลอดเวลาเพราะได้เก็บกดความรู้สึกเจ็บปวดไว้ การเก็บกดอาจควบคู่ปรับการหาสิ่งทดแทน เช่น เด็กที่เก็บกดความรู้สึกมุ่งร้ายพ่ออาจแสดงความมุ่งร้าย ต่อรูปแบบของอำนาจอื่นๆ

. Projection เกิดจาก Neurotic Anxiety หรือ Moral Anxiety เปลี่ยนมาเป็นความกลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความวิตกกังวลเดิมคือความกลัวการถูกลงโทษจากภายนอก จึงง่ายแก่การที่จะเปลี่ยนมาเป็นความผิดของผู้อื่น เช่น การกล่าวว่าเขาเกลียดฉันแทนฉันเกลียดเขาการโยนความผิดให้ผู้อื่นจะสนองเป้าหมาย

๒ ระดับ คือ เป็นการลดความวิตกกังวลเมื่อเปลี่ยนมากลัวสิ่งที่มีอันตรายน้อยกว่าและบุคคลสามารถแสดงแรงผลักดันออกมาโดยปลอมแปลงว่าเป็นการป้องกันตัวจากศัตรู

. Reaction Formation เป็นการแทนที่แรงผลักดันที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลโดยการแสดงตรงกันข้าม ความเกลียดจะแสดงออกโดยความรัก แต่ความรู้สึกเดิมยังคงอยู่ พฤติกรรมที่แสดงออกสามารถแยกได้ว่าเป็นความรู้สึกแท้จริง หรือตรงข้ามกับวามรู้สึกจริงเพราะพฤติกรรมของความรักที่เกิดจากการปกปิดความเกลียดจะมีลักษณะเกินความจริงมากเกินไป

. Fixation and Regression การพัฒนาของบุคลิกภาพตามปกติ จะเป็นไปตามลำดับขั้นจนกระทั่งบรรลุวุฒิภาวะ แต่ละขั้นก็จะประสบความคับข้องใจ และความวิตกกังวล ซึ่งถ้ามากเกินไป จะทำให้การพัฒนาหยุดชะงักชั่วคราวหรือถาวรบุคคลจะเกิดอาการชะงักขึ้นเรียกว่า fixation กลไกที่เชื่อมโยงกับ fixation คือ Regression เมื่อบุคคลเผชิญกับประสบการณ์ที่ขมขื่นจะแสดงพฤติกรรมถอยกลับ เช่น ดูดนิ้ว ร้องไห้ติดตามครู หรือซุกอยู่ที่มุมห้อง การถอยกลับมักจะถอยไปสู่ขั้นที่พัฒนาการชะงักงัน คนที่เคยติดแม่ก็จะหวนกลับมาแสดงอีกเมื่อเผชิญความวิตกกังวลมากๆ จะเห็นได้ว่าเรื่องการเก็บกดนี้จัดว่าเป็นแนวคิดของทฤษฏีของนักจิตวิเคราะห์เพื่อนำมาพิจารณาลักษณะทางบุคลิกภาพ ซึ่งการเก็บกดที่บุคคลได้รับรู้และตระหนักในเหตุการณ์ที่เป็นความทุกข์แล้ว จะส่งเหตุการณ์ที่เป็นทุกข์นั้น เข้าสู่ภาวะจิตไร้สำนึก หากเมื่อเก็บกดเรื่องเช่นนี้แล้ว บุคคลก็จะไม่รับรู้เรื่องนั้นอีกต่อไป การปรับตัวในสถานการณ์วิกฤตของชีวิต จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีกระบวนการและกลไกทางจิตในการป้องกันตัวเองที่บุคคลเลือกนำมาใช้อย่างไม่รู้ตัวนี้มีส่วนที่จะเป็นประโยชน์ในการปรับตัวแก่ผู้ใช้ที่จะเอื้อต่อการแก้ไขปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้นกับชีวิตประจำวัน    

          วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียด

          ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดซึ่งทำให้เกิดทุกข์ ในทางพระพุทธศาสนาซึ่งอาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ที่เครียดหรือเป็นทุกข์ ได้พบกับหนทางแห่ความสุขในชีวิตได้มากขึ้น ตามหลักพระพุทธศาสนาว่าไว้ 10 ประการ ดังนี้[2]

                    1. สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย ทำให้เป็นทุกข์หรือความเครียด

                    2. ปกิณณกทุกข์ ทุกข์จร คือ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส

                   3. นิพัทธทุกข์ ทุกข์อันเนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ทำให้เป็นทุกข์

                    4. พยาธิทุกข์ ทุกข์เพราะโรคต่างๆ

                    5. สัตาปทุกข์ ทุกข์เกิดจากกิเลส คือ โลภ โกรธ และหลง ทำให้เป็นทุกข์

                    6. วิปากทุกข์ ทุกข์เกิดจากกรรมเก่าตามมาให้ผล

                    7. สหคตทุกข์ (วิปริณามทุกข์) ทุกข์เกิดจากโลกธรรม 8

                    8. อาหารปริเยฎฐิทุกข์  ทุกข์เกิดจากการหาอาหาร

                    9. วิวาทมูลกทุกข์  ทุกข์เกิดจากการทะเลาะวิวาท

                    10. ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอด คือความยึดมั่นในขันธ์ 5 เป็นทุกข์

          ความทุกข์โดยความเครียดเป็นผลของกรรมเก่า ซึ่งเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยาก วิธีดับทุกข์ เพราะ บุญหรือกรรมเก่า


          ในปุญญกิริยาวัตถุสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องการทำบุญไว้ 3 ประการคือ


  1. บุญกิริยาวัตถุ  สำเร็จด้วยทาน
  2. บุญกิริยาวัตถุ  สำเร็จด้วยศีล
  3. บุญกิริยาวัตถุ  สำเร็จด้วยภาวนา
              ส่วนในอรรถกถา ท่านได้ขยายออกไปอีก 7 ประการ คือ
  4. อปจายนมัย  ( ทำบุญด้วยการ ประพฤติอ่อนน้อม )
  5. เวยยาวัจจมัย  ( ทำบุญด้วยการ ขวนขวายรับใช้ )
  6. ปัตติทานมัย  ( ทำบุญด้วยการ ให้ความดีแก่ผู้อื่น )
  7. ปัตตานุโมทนามัย  ( ทำบุญด้วยการ ยินดีบุญของผู้อื่น )
  8. ธัมมัสสวนมัย  ( ทำบุญด้วยการ ฟัง อ่านธรรมะ )
  9. ธัมมเทสนานัย ( ทำบุญด้วยการ สั่งสอนธรรมะ )
                       10.ทิฎฐุชุกัมม์  ( ทำบุญด้วยการ ทำความเห็นให้ตรง )        

  นอกจากนั้น หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่อง อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ ที่จะพ้นทุกข์หรือพ้นจากความเครียด มีอยู่สี่ประการ คือ[3]

           1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5

           2. ทุกขสมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

           3. ทุกขนิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง

           4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ 1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ 2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ 3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ 5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ 6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ 7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ 8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง

          กิจในอริยสัจ 4 คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่


  1. ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
  2. ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
  3. สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
  4. ภาวนา - มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา

กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง การรู้จักกิจในอริยสัจนี้เรียกว่ากิจญาณ

กิจญาณเป็นส่วนหนึ่งของญาณ 3 หรือญาณทัสสนะ (สัจญาณ, กิจญาณ, กตญาณ) ซึ่งหมายถึงการหยั่งรู้ครบสามรอบ ญาณทั้งสามเมื่อเข้าคู่กับกิจในอริยสัจทั้งสี่จึงได้เป็นญาณทัสนะมีอาการ 12 ดังนี้

  1. สัจญาณ หยั่งรู้ความจริงสี่ประการว่า
    1. นี่คือทุกข์
    2. นี่คือเหตุแห่งทุกข์
    3. นี่คือความดับทุกข์
    4. นี่คือทางแห่งความดับทุกข์
  2. กิจญาณ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
    1. ทุกข์ควรรู้
    2. เหตุแห่งทุกข์ควรละ
    3. ความดับทุกข์ควรทำให้ประจักษ์แจ้ง
    4. ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น
  3. กตญาณ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
    1. ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
    2. เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
    3. ความดับทุกข์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว
    4. ทางแห่งความดับทุกข์ได้ปฏิบัติแล้ว

          การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดหรือความทุกข์ หรือการบริหารความเครียดไม่ได้อยู่ที่การปฏิบัติตามวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาอย่างเดียว หากแม้แต่เราสามารถนำความเครียดหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นไปประสานกับสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน นอกจากนี้ เราต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อเรื่องบริหารความเครียดทั้งเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย การพักผ่อน และความสัมพันธ์กับผู้อื่นประกอบด้วย หากเรามีความเข้าใจกับเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ประกอบกับการทำความเข้าใจในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว ไม่นานนักเราจะสามารถกำหนดวิธีการแก้ไขความเครียดหรือความทุกข์เฉพาะตัวได้ เมื่อนั้นสุขภาพจิตที่ดีกว่าเก่าและความสุขจะเป็นของเราได้ ซึ่งจะมีการพัฒนาความพร้อมเกี่ยวกับสุขภาวะด้านกาย สังคม อารมณ์และระดับสติปัญญาเพื่อให้หายจากความเครียดได้

          ดังนั้น วิธีการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดหรือความทุกข์ จึงสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ความทุกข์ความเครียดที่เกิดขึ้นกับคนในสังคมไทย ทั้งทางด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และสังคมที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน ทุกคนมีโอกาสที่จะประสบกับปัญหาความเครียดในองค์กร แต่เราจะปรับตัวเองอย่างไรที่จะอยู่กับสถานการณ์ที่กดดันเหล่านั้นได้ เพราะปัญหาทุกอย่างมีไว้ให้แก้ไข ไม่ได้มีไว้ให้เป็นทุกข์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธให้เราได้พินิจวิเคราะห์ประเด็นของความทุกข์ไว้ว่า ความเครียดหรือความทุกข์ คือสิ่งที่ทนอยู่ได้ยากอันเกี่ยวกับกายและจิตใจ (โรคทางกาย โรคทางใจ) ได้แก่ พยาธิทุกข์หรือทุกขเวทนา เป็นทุกข์ เป็นโรค หรือความเจ็บป่วยทางกาย อย่างที่เรียกว่า โรคกาย(Physical Diseases) ซึ่งถ้าอวัยวะต่างๆ ของร่างกายไม่ทำหน้าที่ตามปกติร่างกายเกิดโทษ เกิดอันตรายก็เป็นทุกข์ และสันตาปทุกข์ ทุกข์คือความรุ่มร้อน หรือทุกข์ร้อน ได้แก่ ความกระวนกระวาย เพราะถูกไฟคือ กิเลส พวกราคะ โทสะ และโมหะเผา ทุกข์เพราะถูกกิเลสถือเป็นโรคทางจิต(Mental Diseases) และ ปกิณณกทุกข์ ได้แก่ทุกข์เบ็ดเตล็ด หรือทุกข์ที่จรมา ได้แก่ ความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจ ทุกข์ประเภทนี้อาจก่อให้เกิดโรคจิต โรคประสาท โรคเก็บกดหรือโรคซึมเศร้าได้ถือเป็นอันตรายอย่างมาก ดังนั้น การที่ชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จและให้มีความทุกข์น้อยที่สุด แต่ให้มีความสุขเพิ่มมากขึ้น จงพยายามปรับตัวปรับใจตามรักษาจิตของตนเองให้ดี เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วจิตที่คุ้มครองดีแล้วและจิตที่ตามรักษาดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ซึ่งการข้ามพ้นหรือแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางจิตใจของบุคคลจะเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลนั้นเกิดปัญญา เพราะเมื่อใดที่บุคคลเกิดปัญญาแสดงว่าบุคคลนั้นเกิดความเข้าใจถึงความจริงของชีวิต เข้าใจถึงกฎของธรรมชาติจนสามารถยอมรับความเป็นจริงแท้ของชีวิตได้ และสอดคล้องกับหลักพุทธศาสนสุภาษิตในการเตือนใจเพื่ออบรมจิต ไว้ว่าผู้มีปัญญา ทำจิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่งรักษายาก ห้ามยาก ให้ตรงได้ เหมือนช่างศร ดัดลูกศรให้ตรงได้ ฉะนั้น[4]



[1]ประยูร  สุยะใจ. ทฤษฎีบุคลิกภาพ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๖ : ๕๙.
                [2]“วิถึทางแห่งการดับทุกข์”. http://www.mukdahannews.com/e-dubtook.htm
  [3]ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม, กรุงเทพมหานคร : อรุณการพิมพ์. 2548, หน้า 65-66.
 
[4] ขุ.. ๒๕/๑๓/๑๙.

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557


ศีลพระโพธิสัตว์

         

                    โพธิสัตวยาน (พู่สักเส็ง)  คือยานของพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้แก่ ผู้มีใจคอกว้างขวาง ประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ ไม่ต้องการอรหัตภูมิ ปัจเจกภูมิ แต่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อโปรดสัตว์ได้กว้างขวางกว่า ๒ ยานแรก และเป็นผู้รู้แจ้งในสุญญตาธรรม หลักพระโพธิสัตวยานนั้น ถือว่าจะต้องโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นทุกข์เสียก่อนแล้วตัวเองค่อยหลุดพ้นทุกข์ทีหลัง คือ จะต้องชักพาให้สัตว์โลกอื่นๆ ให้พ้นไปเสียก่อน ส่วนตัวเองเป็นคนสุดท้ายที่จะหลุดพ้นไป ซึ่งเป็นหลักแห่งโพธิสัตวยาน โดยวิธีการนั้น ผู้จะเป็นโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญ ทศ ปารมิตา ได้แก่ ทานบารมี คือจิตต้องพร้อมในการให้ทานเป็นปกติ ศีลบารมี คือจิตต้องพร้อมในการทรงศีลเป็นปกติ เนกขัมมะบารมี คือจิตต้องพร้อมในการถือบวชเป็นปกติ ในที่นี้ หมายถึงบวชใจ ปัญญาบารมี คือจิตต้องพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหารอุปาทานให้พังพินาศไป วิริยะบารมี คือต้องมีความเพียรในทุกขณะ โดยการควบคุมใจไว้เสมอ ขันติบารมี คือต้องมีความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งอันเป็นปฏิปักษ์ สัจจะบารมี คือต้องทรงตัวไว้ว่าเราจะทำจริงทุกอย่างในด้านของการทำความดี ไม่มีคำไม่จริงสำหรับใจตัวเอง อธิษฐานบารมี คือต้องตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ เมตตาบารมี คือต้องสร้างความดี ไม่เป็นศัตรูกับใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น และอุเบกขาบารมี คือต้องวางเฉยในกาย นอกจากนั้นในการบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ จะมีศิลพระโพธิสัตว์มีทั้งหมด ๕๘ ข้อ แบ่งเป็นครุกาบัติ หรืออาบัติหนัก ทั้งหมด ๑๐ ข้อ และลหุกาบัติ หรืออาบัติเบา ทั้งหมด ๔๘ ข้อ สำหรับครุกาบัติ ๑๐ ข้อ หากล่วงละเมิด จะต้องโทษ ดังนี้

 

          ๑. ผู้ฆ่าชีวิตมนุษย์ให้ตายด้วยมือตนเอง ใช้ผู้อื่นกระทำหรือเป็นใจสมรู้ ตลอดจนฆ่าชีวิตสัตว์เล็กใหญ่ให้ตาย ต้องสถานโทษหนัก

          พุทธศาสนานั้นไม่ยอมรับการฆ่าในทุกกรณี นอกจากการไม่ฆ่าด้วยตนเองแล้ว การเกี่ยวข้องกับการฆ่า ก็เป็นสิ่งที่ชาวพุทธพึงหลีกเลี่ยง เพราะจะส่งผลให้ 

         เกิดทุกข์ทางใจ

         จิต ที่เป็น ปกติสุขไม่อาจคิดลงมือฆ่า การจะเอาชีวิตใครได้ต้องใช้จิตที่เป็นทุกข์เท่านั้น เพราะส่วนลึกรู้อยู่ว่าเป็นเรื่องผิด เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ แม้แต่มดตัวน้อยก็ดิ้นรนเอาชีวิตรอดยามจวนตัว อยากดำรงสภาพของตนเองจนกว่าจะถึงอายุขัย ถ้าเราเป็นผู้หยิบยื่นความตายให้กับเขา ใจเราจะเป็นสุขไปได้อย่างไร การสังเกตเข้ามาในตนเองจะทำให้เห็นทุกข์เป็นขณะ ๆ อย่างชัดเจนทุกข์เริ่มต้นตั้งแต่เมื่ออยากฆ่า สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นความหวั่นไหวลังเลใจ กระวนกระวาย กระสับกระส่ายไม่สบายตัวทุกข์ จะทวีตัวขึ้นเมื่อตัดสินใจฆ่าจริง สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นแรงดันร้อน ๆ อัดแน่นอยู่ในอก ตลอดจนเกิดความตึงเครียดขึ้นในหัว ต่อให้ภายนอกดูนิ่ง ก็คล้ายมีลูกไฟวิ่งพล่านอยู่ข้างในทุกข์จะทวี ตัวขึ้นอีกเมื่อมีการพยายามฆ่า สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นการฝืนใจ เค้นเอาโทสะขึ้นมาพยายามเอาชนะมนุษยธรรมที่ติดตัวมาแต่แรกเกิดทุกข์ จะทวีตัวขึ้นถึงขีดสุดเมื่อลงมือฆ่า สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นความรู้สึกเหี้ยมเกรียมก่อตัวขึ้นมากพอที่จะระงับความละอายต่อบาปลง ชั่ววูบ หรือดับสำนึกเมตตาปรานีลงชั่วขณะหนึ่งทุกข์จะไม่จบโดยง่าย แม้เมื่อฆ่าสำเร็จ สังเกตเข้ามาในตนเอง จะเห็นเป็นความรู้สึกผิดที่ยืดเยื้อ เพราะตระหนักว่าชีวิตเมื่อตกล่วงไปแล้ว ย่อมไม่อาจเอากลับคืนมาได้ แม้ผู้ฆ่าจะสำนึกเสียใจเพียงใดก็ตามถ้าสัตว์ที่ถูกฆ่ามีร่างจ้อยจน ดูไร้ค่า เช่น มดและแมลง ก็ไม่ต้องอาศัยกำลังใจในการปลิดชีวิตมากนัก ทุกข์ในขณะต่างๆ จึงอาจปรากฏเป็นของเล็กเกินกว่าจะจับสังเกตได้ หรือในอีกทางหนึ่ง แม้ผู้ถูกฆ่าจะเป็นมนุษย์ ซึ่งต้องอาศัยกำลังใจในการทำบาปยิ่งกว่าฆ่าสัตว์หลายร้อยหลายพันเท่า ความทุกข์ในการลงมือฆ่าก็อาจถูกกลบเกลื่อนด้วยความพึงใจที่สามารถกำจัด ปรปักษ์ได้สำเร็จความไม่เห็นค่าของชีวิต กับความสะใจที่ฆ่าสำเร็จ จึงเปรียบเหมือนม่านอำพรางทุกข์ทางใจของเราได้ แต่ขอเพียงเราใส่ใจสังเกต ก็จะพบว่าทุกข์ทางใจอันเกิดจากการฆ่า ยังคงเป็นความจริงอยู่เสมอ

         เป็นการสั่งสมบาป

         บาป เป็นธรรมชาติฝ่ายมืด เพราะมีอิทธิพลปรุงแต่งสภาพจิตให้มัวหมองลง นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่ทำบาป มองไปทางไหนเราจะรู้สึกว่าโลกหม่นมืดกว่าปกติเมื่อทราบว่าความมืด เป็นเครื่องหมายของบาป เราก็สามารถสำรวจใจตนเองแล้วทราบได้ว่าการฆ่าเป็นบาป เพราะไม่มีการฆ่าครั้งใดที่ทำให้จิตของเราสว่างขึ้น มีแต่จะหม่นหมองลง กับทั้งไม่มีแก่ใจคิดอะไรในทางดี ในทางที่เจริญเอาเลย แรงผลักดันให้ ทำลายชีวิตผู้อื่นได้คือโทสะ โทสะต้องแรงเกินเมตตาธรรมไปมาก จึงขับให้เราก่อบาปด้วยการฆ่าได้ และโดยเหตุนี้เอง ทุกครั้งที่เราฆ่าแบบไม่ฝืนใจ ไม่ยั้งคิด ไม่ยั้งมือ จิตของเราจึงเหมือนแปรสภาพเป็นลูกไฟแห่งความโกรธแค้น ถ้าโกรธแค้นมากก็ลุกโพลงเป็นไฟดวงใหญ่ยืดเยื้อยาวนาน ถ้าโกรธแค้นน้อยก็โชนวูบเป็นไฟดวงเล็กแล้วดับลงในเวลาอันสั้นที่น่า กลัวก็คือบาปสามารถสั่งสมตัวได้ นั่นหมายความว่ายิ่งฆ่าสำเร็จมากขึ้นเท่าไร ใจก็ยิ่งเร่าร้อนมากขึ้นเท่านั้น มองไปทางไหนอะไรต่ออะไรดูขวางหูขวางตา น่าทำลายล้างไปหมด ใครพูดผิดหูนิดเดียว ใจเราจะนึกถึงการลงมือประทุษร้ายเขามากกว่านึกถึงการคุยกันดีๆ ด้วยเหตุด้วยผลแม้ตบยุงสักตัว มือของเราก็ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องประหารแล้ว และใจของเราก็นับว่าเปื้อนบาปแห่งการฆ่าแล้ว ฉะนั้น ยิ่งตบยุงบ่อย เราก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญง่าย และใจก็ทำตัวคล้ายหลุมดำที่ดึงดูดยุงเข้ามาหาตัวถี่ขึ้นอย่างน่าแปลกใจ จนในที่สุด ยุงในการรับรู้ของเราก็กลายเป็นเครื่องหมายเตือนให้นึกถึงการเข่นฆ่าท่าเดียว ความคิดในทางทำลายจะลดความฉลาดในการหาวิธีป้องกัน เราจะไม่รู้สึกผิดและย้ำบอกตัวเองว่าสมควรแล้ว กระทั่งบาปพอกพูนขึ้นจนหนา รู้สึกด้านชากับการฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับเล็ก ถึงจุดนั้นเราจะพร้อมฆ่าสิ่งมีชีวิตระดับที่ใหญ่ขึ้น ด้วยความรู้สึกว่าสมควรแล้วในทางใดทางหนึ่งเช่นกันฉะนั้น เพียงไม่ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะเว้นขาดจากการฆ่า ก็นับว่ามีโทษแล้ว เพราะเมื่อถูกรบกวนให้เกิดโทสะอย่างแรงกล้า เมตตาธรรมดั้งเดิมย่อมลดระดับแทบไม่เหลือ ยังผลให้สติพร่าเลือนลง เปิดช่องให้โทสะเข้าครอบงำจนโง่เขลา หลงนึกว่าบาปแห่งการฆ่าเป็นสิ่งสมควรทำยิ่งกว่าบุญแห่งการไว้ชีวิต

          มีความเป็นอยู่ที่เลวร้าย

         ไม่มีความรู้สึกผิดอันใดย่ำแย่ไปกว่าความรู้สึกผิดที่เกิดจากการฆ่า เพราะบาปข้ออื่นยังพอไถ่ถอนความรู้สึกผิดไหว เช่น ขโมยสมบัติใครยังคืนได้ เป็นชู้ยังขอขมาได้ โกหกยังสารภาพได้ ติดเหล้ายังฝึกอดได้ แต่ถ้าฆ่าใครสำเร็จ เราจะเอาชีวิตที่ไหนมาใช้คืนเขา ถ้าฆ่าใครแล้ว รู้สึกผิด ความรู้สึกผิดนั้นมักเรื้อรัง หากเปรียบเป็นแผล ก็หนักหนาเสียยิ่งกว่าบาดแผลทางกายหลายเท่า เพราะกายอาจเกิดแผลสดเพียงไม่นานก็ตกสะเก็ด รอให้เนื้อสมานกันดังเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่แผลทางใจอันเกิดจากบาปแห่งการฆ่านั้น จะยังคงสดใหม่อยู่เสมอ ตราบเท่าที่ชีวิตของผู้ตายไม่อาจฟื้นคืนกลับมาฟังคำขอโทษจากเรา เมื่อบาปจากการฆ่าถูกสั่งสมมากแล้ว ผู้ฆ่าย่อมเลื่อนฐานะเป็นนักฆ่า ดูเผินๆ เหมือนใจเย็นกว่าคนอื่น แต่ที่แท้เลือดเย็นกว่าใครๆ ต่างหาก ความเลือดเย็นของนักฆ่าย่อมก่อให้เกิดกระแสในตัวที่น่าพรั่นพรึง ชวนให้รู้สึกถึงอันตราย ไม่ต่างจากยุง งู หรือเสือ แค่เห็นก็นึกเกลียดกลัวขึ้นมาทันที ทั้งที่ยังไม่ทันทำอะไรให้ การฆ่าแต่ละครั้งคือการสั่งสมความเครียด จะน้อยหรือมากก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องเค้นกำลังใจขึ้นมาปลิดชีวิตผู้อื่นเพียง ใด ความเครียดทำนองนี้ย่อมกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารอันเป็นพิษต่อร่างกายหลายชนิด ซึ่งเมื่อสั่งสมมากพอ ย่อมก่อให้เกิดโรคที่คาดเดายาก จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดนักฆ่าทั้งหลายจึงต้องทุรนทุรายกับสารพัดโรคร้าย ราวกับถูกคุมขังและลงโทษให้ตายอย่างทรมานอยู่ในคุกแคบ ซึ่งก็คือร่างกายของตนนั่นเอง นักฆ่าจัดเป็นพวกที่ไว้ชีวิตตนเพื่อ ตัดชีวิตท่าน จึงย่อมได้ชื่อว่าก่อกรรมด้วยการริบอายุผู้อื่น แม้กลับใจแล้ว และใช้ชีวิตที่เหลือทำบุญใหญ่เพื่อให้บาปเจือจางลง เป็นผลให้มีสิทธิ์ได้เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ ก็ย่อมถูกผลของบาปแห่งการฆ่าริบอายุเอาบ้าง อาจด้วยการถูกศัตรูไล่ล่าฆ่าคืน อาจด้วยการเป็นโรคร้ายรักษาไม่หาย หรืออาจด้วยการประสบอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ตายดับไปจากสุคติภูมิ เช่นมนุษยโลกเสียตั้งแต่อายุยังน้อย หากตายเยี่ยงนักฆ่าผู้ยังไม่อิ่มไม่พอกับการฆ่าฟัน แต่ยังพอมีบุญพยุงไม่ให้ร่วงหล่นถึงนรก ก็อาจไปเสวยภพของนักฆ่าระดับเดรัจฉานภูมิ เช่น ยุงลาย งูจงอาง หรือพญาราชสีห์ สุดแต่บุญเก่าของแต่ละตนจะตกแต่งให้เป็นนักฆ่ารุ่นเล็ก รุ่นกลาง หรือรุ่นใหญ่แต่หากตายเยี่ยงนักฆ่าที่เหี้ยมโหดไร้ความ ปรานี กับทั้งไม่มีบุญเก่าพอช่วยพยุง ก็จัดว่ามีความเหมาะกับสภาพความเป็นอยู่อันเร่าร้อนเช่นนรกภูมิสถานเดียว

 

          ๒. ผู้ถือเอาของผู้อื่น มีราคา ๕ มาสก ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก

          ผู้ถือเอาของผู้อื่น ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเอง หรือใช้ผู้อื่นกระทำ ทำให้เป็นคนไม่มีความยึดมั่นในความสัตย์ และไม่คิดทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ไม่มีความซื่อตรง และมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นคนละโมบโลภมาก และเป็นคนคดโกง

          ผู้ถือเอาของผู้อื่น ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ เป็นการไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น ไม่ให้ความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น และเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น

          คนประเภทนี้ถ้ามีในสังคม สังคมจะไม่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ไม่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ในสังคมจะไม่มีใครคิดและทำเพื่อส่วนรวม จะไม่รู้จักการแบ่งปันหรือการให้เพื่อคนสังคม ในสังคมจะมีแต่คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ ไม่พร้อมที่จะเสียสละ หรือช่วยปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแน่นอน

 

          ๓. ผู้เสพเมถุนนำนิมิตล่วงเข้าไปในทวารหนัก ทวารเบาร หรือทางปากของผู้ชายหรือผู้หญิง ตลอดจนสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย ต้องสถานโทษหนัก

         การเสพทำให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ คือ มีสัมผัสแล้วก็ย่อมเกิดเวทนาตามมาเกิดสัญญา แล้วมันก็จะต่อเนื่องไปไม่จบ

          โดยเฉพาะเรื่อง การเสพเมถุน เป็นการปล่อยใจ ปล่อยอารมณ์ตามความอยาก ทำให้กิเลสพอกพูน นำมาซึ่งความเพียรพยายามแสวงหาวัตถุกามมาครอบครองให้มากเท่าที่จะมากได้ ในที่สุดก็กลายเป็นความหลง ยึดมั่นถือมั่นอยู่กับวัตถุกามนั้นๆ กามคุณเป็นกิเลสร้อยรัดอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเราไม่หลุดพ้น เซ็กและความรัก ทำให้คนเราเกิดทุกข์ เป็น"ห่วง" หรือ "ราหุล" ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารตลอดไป

         บุคคลที่มักเสพเมถุน มักก่อเรื่องราวแก่คนอื่น ก่อคดี เช่น เมื่อต้องการเสพเมถุนแล้ว มักหักห้ามใจไม่ได้ จึงก่อคดีข่มขืนที่มีข่าวกันทุกวัน คดีการแย่งชิงคนรัก จนก่อเกิดปัญหาในครอบครัวขึ้น

         ทุกวันนี้สังคมเต็มไปด้วยข่าวชู้สาว ผิดประเวณี เป็นยอดแห่งข่าวทั้งปวง และนับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น สามีภรรยามักจะมีปัญหาเรื่องครอบครัว เช่น ฝ่ายหญิงไปมีกิ๊ก ฝ่ายชายไปมีเมียน้อย เกิดขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง เนื่องจากความต้องการในการเสพเมถุนของมนุษย์เรานี้เอง

 

          ๔. ผู้อุตริมนุสธรรม อวดรู้ฌานรู้มรรคผลที่ไม่มีในตน ตลอดจนพูดมุสาวาทที่ไม่ใช่ความจริง กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก

          ผู้อุตริมนุสธรรม อวดรู้ฌานรู้มรรคผลที่ไม่มีในตน ตลอดจนพูดมุสาวาทที่ไม่ใช่ความจริง กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ จะส่งผลให้ติดสุข คือ การติดเพลินติดใจอยากได้ความสุขความสบาย อันเกิดขึ้นจากอำนาจของญาณหรือองค์สมาธิ ติดปิติ คือ เป็นความติดใจอยากในความอิ่มเอิบหรือซาบซ่าน ติดอุเบกขา คือ ติดเพลิน ติดใจ อยากในความสงบ

          คนอวดดี อวดเด่น อวดรู้ อวดฉลาด-แต่ก็ไม่ดีจริง ไม่เด่นจริง ไม่รู้จริง ไม่ฉลาดจริง ต้นตอรากเหง้าของกิเลสตัวนี้ คือ อวิชชา-ความไม่รู้จริง หรือความบรมโง่ ก็ได้ เกี่ยวพันกับกิเลสหลายตัวมาก เพราะมีหลายระดับ หลายชั้น ตั้งแต่ชั้นหยาบๆ -ชั้นกลางๆ-และชั้นละเอียดคละเคล้าปะปนกันอยู่มากบ้างน้อยบ้างตามส่วน เช่น      1. กิเลสหยาบ-ชั้นนอก(อุปกิเลส 16) ปลาสะ-ตีเสมอ (เข้าทำนองอวดเด่น อวดรู้ อวดฉลาดเท่าเทียมกับผู้ที่เหนือกว่า) สารัมภะ-แข่งดี แย่งดี(ประเภทหน้าใหญ่ใจโต ทำบุญเอาหน้า เอาเด่นกว่าใคร) มานะ-ถือตัว ถือตนถัมภะ-ดื้อ ด้านอติมานะ-ดูถูก ดูหมิ่น ดูแคลนคนอื่นอิสสา-อิจฉาริษยาผู้อื่น ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี

          2. กิเลสชั้นกลาง(อนุสัย 7-นอนนิ่งอยู่ในใจ พุ่งหรือฟุ้งขึ้นมาบางขณะตามเหตุปัจจัย) ทิฏฐิ-ความเห็นผิด(เห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด) มานะ-ถือตัว ถือตน ไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาภวราคะ-อยากได้ อยากมี อยากเป็น(อยากให้คนอื่นยกย่อง เชิดชู ให้เกียรติ เห็นว่าตนดี ตนเด่น) อวิชชา-ความไม่รู้จริง บรมโง่

          3. กิเลสชั้นละเอียด(สังโยชน์ 10-ทำให้จิตไม่หลุดพ้น) สักกายทิฏฐิ-ติดอัตตา ตัวตน อีโก้สูง ประมาทหลงเมาตนเองมานะ-ถือตัว ถือตนอวิชชา-ความไม่รู้จริง บรมโง่ผู้ปฏิบัติธรรม จำนวนไม่น้อยติดหลงอยู่กับกิเลสอวิชชาเหล่านี้ คิดว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว ดีแล้ว ดีกว่าคนอื่นๆ การแสดงตัวว่ารู้ทั้งๆที่ไม่รู้จริง ก็เป็นการบ่งบอกให้คนอื่นรู้ได้ในที่สุดเองว่า ตนเองเป็นอย่างไร หรือดีแค่ไหน

          ดังนั้น ผู้รู้จริง เขาจึงไม่โอ่อวด แสดงตนว่ารู้มาก และไม่ตำหนิติเตียนผู้อื่น หากแต่เข้าใจและสงสาร ช่วยได้ท่านก็ช่วย ช่วยไม่ได้ ท่านก็ปล่อยไปตามเรื่องของแต่ละคนคนสูง(คนดีจริง) ทำตัวต่ำ(สามัญธรรมดา สมถะ เรียบง่าย ไม่ถือตัว) แต่คนต่ำ(คนชั่ว คนไม่ดีจริง)ทำตัวสูง (พยายามยืดชูคอให้สูงกว่าปกติธรรมดาเข้าไว้ อวดเบ่ง อวดเก่ง คุยโม้โอ่อวด ทั้งๆที่ไม่มีดีจะอวด นอกจากความโง่ของตนเท่านั้นเอง)

      

          ๕. ผู้ผลิตสุราเมรัยน้ำเมา ตลอดจนยาดองสุราที่ไม่ใช่รักษาโรคโดยตรง กระทำหรือผลิตเอง หรือใช้คนอื่นกระทำหรือผลิต ต้องโทษสถานหนัก

         สุราเมรัยน้ำเมา หรือ เหล้ามิใช่ของคาว แต่มันเป็นสิ่งเริ่มต้นของบาปกรรมทั้งปวง เหล้าลงคอ ฆ่าสัตว์ ลักขโมย ผิดศีลกาเม พูดเท็จ เกิดจากจิตใจที่เมามัวหลังสร่างเมาจึงเห็นความเป็นไปที่แน่นอน ต้องหยุดดื่มจึงเรียกศีลหยุด ไม่ดื่ม ดื่มสุรามีผิดอะไร ทำไมพระพุทธเจ้าจึงให้ถือดื่มสุราเป็นศีลห้ามสิ้นเปลืองเงินทอง บุญวาสนาถูกลดทอนอย่าดื่มเหล้าและอย่านำเหล้าไปกำนัลคนอื่น ถือศีลข้อนี้ยังซื้อเหล้าแจกอยู่ เกิดห้าร้อยชาติมือกุด เกิดเป็นไส้เดือนกลับจากต่างประเทศอย่าช่วยคนนำเหล้าเข้ามาทุกรากปัญญามืดบอด ปัญญาหดหาย ปัจจุบันเจ็บป่วยบ่อย กินอาหารได้น้อย ดื่มเหล้าง่ายต่อการเป็นโรคตับ โรคเบาหวาน โรคไต โรคกระเพาะเพิ่มความโกรธ ต่อสู้แย่งชิง ทำร้าย เข่นฆ่ากามราคะลุกโชติช่วง ขณะเมาเหล้าธรรมจริยาทุกอย่างหายหมดออกจากบ้านแต่งตัวภูมิฐาน เหล้าเข้าปากผ่านไปสามแก้ว เมาไม่ได้สติขาดมารยาท ปากพ่นคำหยาบ อาการน่าเกลียดทุกอย่างแสดงออกก่อปัญหาให้ครอบครัวมากมายเปิดเผยความลับ ธุรกิจล้มเหลว วงการค้าเหมือนสนามรบพอเมาเหล้าเปิดเผยความลับทางการค้าทุกอย่างเป็นลูกจ้างถูกนายจ้างตำหนิให้ออกจากงานหากตัวเองเป็นเถ้าแก่บุญวาสนาไม่พอ ไม่เกินสองเดือนอาจเจ๊งได้พ่อแม่ไม่ชอบ ครอบครัวบริวารหนีห่าง กลิ่นเหล้ารุนแรง ผู้คนรังเกียจ ชนรุ่นต่อไปทำตามอย่างทุศีลเจ ทำผิดบาป หลังดื่มเมาแล้วศีลเจอะไรก็ไม่รู้หมด รักษาไม่อยู่ ไม่เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคารพ คนดีหนีห่าง ใกล้ชิดคนชั่ว รวมกลุ่มกับคนเมาด้วยกัน คบเพื่อนดื่มเหล้ากินเนื้อสัตว์จิตใจสับสน ห่างไกลฌานสมาธิ จิตใจไม่สงบ จิตใจฟุ้งซ่าน มักทำผิดคุณธรรม มักเป็นคนผิดหวัง ทุกข์ สูญเสียเวลา ความเคยชินไม่ดีแก้ยาก ร่างกายทรุดโทรม ชีวิตดับสูญตกนรกอเวจีเพื่อความจำเป็นการรักษาโรคภัย ยามีส่วนผสมของเหล้าแต่ต้องไม่ถึงกับทำให้เมา ยาทาภายนอกผสมเหล้าได้ยาดองเหล้าบำรุงร่างกายไม่ควรดื่มร่างกายแข็งแรงเกินจะเพิ่มความกำหนัดไม่ดีกรรมสนองจากการผิดศีลสุราเมรัยตกนรก เกิดเป็นคนโง่เขลา ไม่เชื่อธรรมะ เกิดมาชาติหน้าไม่ฉลาด อ่านหนังสือไม่เข้าใจ ผลจากการถือศีลสุราเมรัยปัญญาแจ่มใส จิตสงบสุขเกษม ได้เกิดเป็นนักบวช เป็นอาจารย์บรรยายธรรม ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่เผลอเรอถือศีลทั้งสี่ข้อนี้ จะไม่ทำผิดโทษหนัก รักษาศีลฆ่า ลักขโมย กาเม พูดเท็จ

      

         ๖. ผู้กล่าวร้ายบริษัท ๔ ใส่ร้ายอาบัติชั่ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนศึกษามานะ (สิกขมานา) สามเณรและสามเณรี โดยไม่มีมูล ด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก

         มูลรากของการใส่ร้ายมาจากอคติ อคติมีบ่อเกิดมาจากความเกลียดชังและความริษยา ฉะนั้น ในเบื้องต้นสำหรับคนต้องการถอนตัวจากวงจรใส่ร้าย ก็ควรกำหนดความตั้งใจไว้ตายตัวว่า[หน่วยระบบทำงาน] แม้จะเกลียดชังหรือริษยาใครอย่างห้ามใจด่าทอไม่ได้ ก็ต้องไม่เผลอพูดถึงเขาคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงที่คุณรู้ คือถ้าอดไม่ได้ที่จะด่าทอหรือนินทา ก็ต้องยืนพื้นอยู่บนข้อมูลที่แน่ใจว่าถูกต้อง ปราศจากการใส่สีตีไข่เสมอ เมื่อฝึกตนพูดถึงใครๆ ตามจริงโดยไม่บิดเบือนข้อมูลได้สำเร็จ ก็จะสามารถเห็นโทษของจิตใจประทุษร้ายแม้ด้วยทางวาจา ว่าให้ผลเป็นความทุกข์ ความอึดอัด ความคับข้องแก่ตนเอง จิตคุณจะอยากขยับขึ้นมาอีกขั้น คือไม่พูดว่าร้ายใครเลย เพื่อความปลอดโปร่งจากภัยเวรอย่างสิ้นเชิง หากต้องตำหนิใครก็จะอยู่ในกรอบของระบบหน้าที่การงาน ตำหนิด้วยใจเป็นกลาง หวังประโยชน์ส่วนรวม และเป็นไทจากอคติทั้งปวง

          คำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปี คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตายก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ มีเรื่องเดือดร้อนพระท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบ มันก็จะไม่มีเรื่องกัน แต่ถ้าไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา เพราะนั่นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่ถ้าไปพูดเข้าเมื่อไหร่ กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่น รวมไปถึงการพูดไม่ดีต่างๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจแก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอๆ ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมีโชคลาภ กรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี เหมือนอย่างเขาผู้นั้นซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55 หรือ 57 บางทีก็ติดต่อการค้าหรืองานต่างๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้าง ไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่างๆ มาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอๆ ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควรได้ประมาณเป็นล้านๆ เขาก็จะได้แค่หมื่นสองหมื่น หรือโชคครั้งนี้จะได้หลายหมื่นแต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาท หรือเพียงได้ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดี และรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลานเขาเหล่านั้นก็จะทำความเดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูง ก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษ ด่าว่าทะเลาะวิวาท ทำให้ไม่สบายกายไม่สบายใจเป็นอย่างมาก มีเรื่องเดือดร้อนต่างๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้น มีลูกหลานก็จะดื้อด้าน ว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อนให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพนับถือ ลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเอง มักจะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หาย เช่น อัมพฤต อัมพาต มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคร้ายต่างๆ อีกมากมายหลายชนิด หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่า กรรมทางวาจามีผลร้ายแรงมาก การที่เราพูดใส่ร้ายหรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและเสียใจหรือไปพูดทำลายความหวังต่างๆ ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสีย ถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้ พอตายลงไปยังต้องไปใช้กรรมยังนรกตามขุมต่างๆ อีก ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร" ความหมายว่าคนดีไม่ตีใคร ไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็งๆ ไปตีเขา แต่ท่านไม่ให้พูดจาไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหายและ "ทุกข์ใจ"    

         ๗. ผู้ยกตนข่มท่าน ติเตียนนินทาภิกษุอื่น ยกย่องตนเองเพื่อลาภด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก

          การพูดยกย่องตัวเองและข่มผู้อื่น พูดทับถมผู้อื่นแสดงให้เห็นว่าตัวเหนือกว่า.การพูดวาจากระทบกระเทียบ เสียดสี พูดว่าร้าย เกิดจากจิตที่เป็นอกุศล แม้คฤหัสถ์ยังไม่ควรทำ ไม่ต้องกล่าวถึงเพศบรรพชิตที่เป็นเพศที่ขัดเกลากิเลสทุกทาง  ย่อมไม่สมควรพูด พระพุทธองค์ได้ปรับอาบัติสำหรับพระภิกษุที่ใช้คำด่าว่า เสียดสีกับภิกษุรูปอื่นว่าเป็นอาบัติ

  การยกตนข่มผู้อื่นเป็นทางออกของคนที่มีปมด้อย และมีความรู้สึกต่ำต้อยกว่าคนอื่น จึงพยายามแสดงออกถึงสิ่งที่คิดว่าเป็นจุดเด่นของตัวเอง แต่แสดงออกในเชิงโอ้อวด เพื่อลดความรู้สึก ด้อยในใจ และยกความสำคัญของตัวเองให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมักสร้างความรำคาญใจให้คนรอบข้าง เป็นนิสัยที่ทำลายสัมพันธภาพ และอาจก่อให้เกิดศัตรูได้

  ไม่มีใครที่ชอบฟังคำพูดเชิงยกตัวเหนือคนอื่น อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ยิ่งพูดในลักษณะข่มผู้อื่นด้วยแล้ว ยิ่งสร้างความรู้สึกไม่เป็นมิตรให้เกิดขึ้นได้ง่าย แต่ถ้าจะแก้ไขได้ ต้องอาศัยคนที่มีอำนาจสูงกว่า หรือคนที่มีบุญคุณและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า เป็นผู้ตักเตือนด้วยความเมตตาและหวังดี ส่วนคนรอบข้างก็อาจช่วยปรับพฤติกรรมด้วยการไม่สนใจ ไม่แสดงความชื่นชม ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการเสริมแรงให้นิสัยดังกล่าวคงอยู่ต่อไป

  สำหรับคนที่มีนิสัยชอบยกตนข่มท่าน ก็คงต้องพยายามปรับปรุงตัวเองด้วย อาจใช้วิธีเตือนสติ บอกย้ำกับตัวเองว่าคุณรู้อยู่แก่ใจว่าคุณมีดีอะไร ไม่จำเป็นต้องแสดงให้คนอื่นรู้ ให้เขารับรู้ด้วยตัวเองหรือรับรู้จากคนอื่น จะเพิ่มความนิยมชมชอบได้มากกว่า แต่ถ้าไม่มีใครรู้ก็มิใช่เรื่องที่คุณจะต้องไปแคร์ ถ้าคุณแคร์แสดงว่าคุณให้ความสำคัญกับคนอื่นมาก จนยอมให้คนอื่นมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของคุณ ให้พยายามสร้างความรู้สึกพอใจ เต็มอิ่มและภาคภูมิใจกับสิ่งที่คุณเป็น และสิ่งที่คุณมีอยู่ อย่าดูถูกตัวเอง เพราะคนที่ดูถูกตัวเองก็มักจะคิดว่าคนอื่นจะดูถูกคุณไปด้วย

 

         ๘. ผู้ตระหนี่เหนียวแน่น ไม่มีมุทิตาจิต ตลอดจนไม่เอื้อเฟื้อต่อผู้ยากจนขอทาน กลับขับไล่ไสส่ง กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก

          ความตระหนี่เหนียวแน่น หวงแหนในทรัพย์และความดีของตน ไม่ยอมเสียสละให้แก่ผู้อื่น ซึ่งมีหลายอย่างด้วยกันคือ การตระหนี่หวงแหนที่อยู่อาศัย ที่หลับนอน เช่น มีญาติเดินทาง มาจากต่างจังหวัด ขอพักอาศัยสัก ๒-๓ วัน ก็ไม่ให้อาศัย การหวงลาภที่ได้มาไม่ยอมแบ่งปัน เช่น วันปีใหม่ บางคนได้ของขวัญมาเยอะ แต่เก็บไว้คนเดียวแทนที่จะแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง การตระหนี่ในตระกูล ไม่ยอมให้คนอื่นร่วมใช้ กลัวคนอื่นจะมาทำให้ตระกูลตกต่ำไป

          การตระหนี่ในวรรณะคือความงาม ต้องการให้ตนงามเพียงคนเดียว ไม่ยินดีในความงามของคนอื่น รวมถึงการตระหนี่ในธรรมด้วย โดยไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ตามที่ตนรู้ ซึ่งล้วนแต่ทำให้จิตใจเร่าร้อน เพราะกลัวคนอื่นจะมาเบียดเบียนในทรัพย์ และคุณความดีของตน แม้เป็นเศรษฐีร่ำรวยเงินทอง ต้องขึ้นไปหุงข้าวมธุปายาสบนยอดปราสาท เพราะกลัวคนอื่นเห็นเข้าจะมาขอกิน

          การอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคมหนึ่งนั้น ต้องอาศัยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งการที่สมาชิกในสังคมคิดและทำเพื่อส่วนรวม รู้จักการให้เพื่อสังคม ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ พร้อมที่จะเสียสละหรือช่วยปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม พฤติกรรมการแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นี้เป็นสิ่งสำคัญในสังคมที่จะทำให้สังคมอยู่อย่างสงบสุข สันติและมีความเจริญก้าวหน้า รวมถึงประเทศชาติด้วย สำหรับส่วนตัวของบุคคลแล้ว การให้ หรือการรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะส่งผลให้ใจเป็นสุขเมื่อได้ให้ หรือใจเป็นสุขเมื่อทำให้ผู้อื่นมีความสุข ทำให้คนๆ นั้น เห็นคุณค่าในตนเองในการทำดี แบ่งปันสิ่งที่รักที่ชอบให้เพื่อนๆ และผู้อื่น และจะมีความยุติธรรมในจิตใจ เมื่อเกิดสถานการณ์การแย่งชิง คนที่มีพฤติกรมการแบ่งปัน และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะได้รับการยอมรับจากสังคม มีความเห็นอกเห็นใจและจะแสดงความเห็นอกเห็นใจได้ เมื่อประสบกับเหตุการณ์ เช่น คนได้รับความทุกข์ก็จะเข้าไปช่วยเหลือหรือปลอบโยน การพึ่งพาอาศัยผู้อื่นให้ช่วยเหลือ เอาใจใส่ดูแล ซึ่งคนๆ นั้นจะมีความพอใจช่วยเหลือแบ่งปันเพื่อนๆ เสมอ ไม่เกิดความรู้สึกหวงข้าวของ

 

          ๙. ผู้มุทะลุฉุนเฉียว ตลอดจนก่อการวิวาท ใช้มีด ใช้ไม้ ใช้มือทุบตีภิกษุอื่น กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก

         ยกตัวอย่าง เรื่องของกฎแห่งกรรม ของชีวิตคนคนหนึ่งที่ได้ประสบมากับชีวิตของตนเอง จากการที่เป็นผู้มุทะลุฉุนเฉียว คือ ชายคนหนึ่งเป็นลูกชาวนา ต้องทำนาตามพ่อแม่ปู่ย่า ที่เคยทำมา พอหมดฤดูทำนา ก็หาทำงานรับจ้าง ทั่วไป และในตอนเป็นหนุ่มก็ได้ไปฝึกซ้อมชกมวย กับเพื่อนๆ ที่พอจะฝึกจะสอนชกมวยให้ ก็เลยมีอาชีพชกมวยอีกอาชีพหนึ่ง

          ไม่ว่าจะเป็นงานบุญงานวัด ที่เขาจัดให้มีการชกมวยผมก็มักจะไปหาคู่ชก เพื่อหาเงิน เที่ยวงานบุญนั้นอยู่เป็นประจำเสมอมา พูดถึงนิสัยใจคอของเขา แต่ก่อนนี้ เป็นคนนิสัยมุทะลุโมโหง่าย อารมณ์ฉุนเฉียว หงุดหงิดขี้รำคาญ ราวปี พ.ศ.๒๕๑๖ ตอนนั้นกำลังเป็นหนุ่ม อายุราว ๑๘ ปี ในปีนั้น หลังจากที่ได้ทำนา กับครอบครัว จนถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าว ได้ตีข้าว นวดข้าว จากลอมลาน จนเสร็จดีแล้ว ผมก็ได้นำเอาวัวมาเทียมเกวียน เพื่อจะขนเอาข้าวจากลานไปสู่เล้าสู่ฉาง ในวันนั้น หลังจากที่ขนข้าวขึ้นสู่เกวียนจนเต็มเกวียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้นำเอาวัวคู่นั้นมาเทียมเกวียน เพื่อลากเกวียนขนข้าว ไปตามเส้นทางเข้าสู่หมู่บ้าน ขณะที่วัวคู่นั้นลากเกวียน มาถึงถนนที่มีทรายมากๆ วัวก็ไม่สามารถลากเกวียน ฝ่าถนน ที่มีทรายลึกนั้นไปได้ วัวทั้งสองเลยพากันก้มหัวปลดแอกออกจากคอเอง แล้วก็หันหน้ามาชนกัน พอเขาเห็นวัวทำอย่างนั้น เขาก็โกรธมาก จึงจับเอาเชือกของวัวทั้งสองมาผูกไว้ แล้วก็เอาไม้เกวียนมาตีกระหน่ำลงไป บนหลังของมันทั้งคู่ อย่างสุดแรงของเขา พอเขาตีมันทีไร มันก็จะส่งเสียงร้อง อย่างโหยหวน...โอ๊ก...อุ๊ก...โอ๊ก...อุ๊ก...ในใจของชายคนนั้นก็คิดไปว่า มันร้องเยาะเย้ย จึงตีซ้ำไปอีกตัวละหลายที คราวนี้เห็นวัวทั้งคู่น้ำตาไหลพรั่งพรูเป็นสาย เลยคิดว่า มันคงจะยอมแล้วล่ะ จึงได้หยุดตีมัน ซึ่งหลังของมันคงจะเจ็บและช้ำมาก จากนั้น ก็จับทั้งคู่เอามาเทียมเกวียน คราวนี้พวกมันแทบจะพาเกวียนเหาะไปเลย

          เขาได้ทำกรรมกับวัวคู่นั้นแล้ว ก็ไม่คิดถึงเรื่องบาปกรรมอะไร ก็เป็นธรรมดาของคน และสัตว์โลก ทั่วไป ผู้ที่ฉลาดเฉโกกว่า ย่อมเอาเปรียบข่มเหงคะเนงร้าย กับผู้ที่โง่เขลากว่า ในใจของชายคนนั้นคิดว่าวัวหรือควายเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หากเอามาใช้การใช้งาน หากใช้ไม่ได้ดั่งใจเรา การตีการฆ่าย่อมเป็นของธรรมดาของคนที่มีอำนาจกว่าสัตว์ โดยที่เขาลืมคิดไปว่า ใจเขา...ใจเรา....มันคงไม่แตกต่างกันเลย เพียงแต่ว่า เขาพูดไม่ออก เขาบอกไม่ได้เท่านั้น ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ถัดมาจากปีที่ตีวัวมาอีก ๒ ปี รอยเกวียนรอยกรรม หมุนวนหมุนเวียนวิบากกรรม ที่เคยทำเอาไว้ มันก็ได้หมุนวนเข้ามาสู่ชีวิตของเขาในปีนั้น

          วัดในชนบทใกล้บ้านจัดให้มีงานบุญประจำปี และมีการชกมวยการกุศลขึ้น เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ขึ้นชกมวย เป็นมวยคู่ที่ ๓ พอขึ้นชกไปได้ยกที่ ๒ ระฆังดังขึ้น เขาก็เข้าไปชกกับคู่ต่อสู้ มีอยู่ครั้งหนึ่งในยกนั้น เขาได้เข้าไปกอดรัดคู่ต่อสู้ เพื่อตีเข่า แต่เขากลับโดนคู่ต่อสู้จับทุ่มลงสู่พื้นเวที อย่างแรง ผลปรากฏว่า หลังของเขากระแทกกับพื้นเวทีมวยอย่างแรง ทำให้เขาเจ็บปวดเป็นอันมากจนลุกไม่ขึ้น

          ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขารู้สึกเจ็บหลังเรื่อยมา จนมาปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เขาก็ได้แต่งงานกับสาวงามในหมู่บ้านเดียวกัน ในระยะที่เขาแต่งงานกำลังมีความสุขนั้นเอง ก็มีอาการเจ็บปวดที่หลังมากขึ้น เจ็บที่สันหลังดันเข้าไปสู่หน้าอก เจ็บปวดมาก จนกินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ ป่วยอยู่ที่บ้าน ทนทุกข์ทรมานอยู่ถึง ๓ เดือน จนเขาคิดว่าหากรักษาหยูกยาตามมีตามเกิดอยู่ที่บ้านก็คงจะต้องตายแน่ๆ เลยตัดสินใจให้เมียและญาติพี่น้องพาส่งโรงพยาบาล และก็มานอนเจ็บป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครึ่งเดือน หมอเลยผ่าตัด ในขณะที่นอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล เขาคิดไปถึงกรรมของตนว่า นี่แหละหนอ ผลกรรมที่เคยทำเอาไว้กับวัวในครั้งนั้น

 (จากพระไตรปิฎก ภาษาไทย ฉบับหลวง เล่มที่ ๓๗ "สพฺพฺ มิทํ กมฺมโตติกถา" ข้อที่ ๑๗๐๐ ใจความว่า "โลกเป็นไปเพราะกรรมหมู่สัตว์เป็นไปเพราะกรรม สัตว์ทั้งหลายมีกรรม เป็นเครื่องกระชับ เหมือนลิ่มสลักแห่งรถ ที่แล่นไปอยู่ฉะนั้น

         ๑๐. ผู้ประทุษร้ายต่อพระรัตนตรัย กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ต้องสถานโทษหนัก

          พระรัตนตรัย หมายถึง ดวงแก้วอันประเสริฐ 3 ประการ ซึ่งถือเป็นดวงมณีอันล้ำค่าของชาวพุทธ เป็นหลักที่เคารพบูชาสูงสุดของพุทธศาสนิกชนรวมทั้งยังเป็นโครงสร้างสำคัญของพระพุทธศาสนา ได้แก่  

          1. พระพุทธเจ้า  เป็นผู้ที่ตรัสรู้เองและสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม

          2. พระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักความจริงที่นำมาเป็นหลักความประพฤติ

          3. พระสงฆ์  คือ หมู่สาวกผู้ปฎิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

          คุณของพระรัตนตรัย

          1. คุณของพระพุทธเจ้า พระปัญญาคุณ (ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง) พระบริสุทธิคุณ (ปราศจากกิเลส)   พระกรุณาคุณ (มีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก)

          2. คุณของพระธรรม พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฎิบัติไม่ให้ตกไปสู่ความชั่ว พระธรรมเป็นสัจธรรมให้ผลแก่ผู้ปฎิบัติตามที่ปฎิบัติ

          3. คุณของพระสงฆ์ เป็นผู้ปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และสอนให้ผู้อื่นกระทำตามเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา

          สรณะสูงสุดอันเกษมของพวกเราทั้งหลาย คือ พระรัตนตรัย ที่ประชุมรวมอยู่ภายในตัวของเราทุกคน ไม่ได้อยู่นอกตัว เมื่อเราแสวงหา สรณะหรือที่พึ่งชนิดนี้ ต้องรู้จักวิธีที่จะเข้าให้ถึง โดยการทำใจให้หยุดให้นิ่ง ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ หยุดลงไปตรงที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างเบาสบาย ฝึกทำบ่อยๆ ทำให้สม่ำเสมอ ยิ่งใจของเราสะอาดบริสุทธิ์ จะเข้าไปพบกับพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นผู้รู้ผู้บริสุทธิ์ภายในได้เร็วยิ่งขึ้น เมื่อเราประสบทุกข์ เราก็พึ่งท่านได้ จะทำให้มีแต่ความสุข สดชื่นเบิกบานนี้คือ ที่พึ่ง ที่ระลึกอย่างแท้จริงของเราและมวลมนุษยชาติตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย

 

          ผู้ประทุษร้ายต่อพระรัตนตรัย กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ จะเกิด

   1. กัมมสัทธา เชื่อว่าเมื่อเราทำอะไรโดยมีเจตนาหรือมีความจงใจที่ดีหรือไม่ดี ย่อมเกิดกรรมดี หรือกรรมชั่วตามเจตนา  และเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดผลดีหรือผลร้ายสืบเนื่องตามมา

2.วิปากสัทธา เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่าการกระทำที่สำเร็จลงไปต้องมีผล และย่อมต้องมาจากเหตุ ผลที่ดีเกิดจากการกระทำที่ดีและผลชั่วร้ายเกิดจากการกระทำไม่ดี

3. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน คือเชื่อว่าคนแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบหรือเสวยวิบากกรรมที่ตนเองทำไว้เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า "กรรมใด ใครก่อกรรมนั้น ย่อมสนอง"

4. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นจริง คือมีความเชื่อในพระคุณทั้ง 9 ประการของพระพุทธองค์ ตรัสธรรม และบัญญัติพระธรรมวินัยไว้ดีแล้ว ทรงแสดงให้เห็นว่า มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงความจริงอันประเสริฐได้ด้วยการฝึกตนด้วยดี

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระศาสดาองค์แรกที่ทรงประกาศ ศีลหรือข้อห้าม ให้ชาวชมพูทวีปในครั้งพุทธกาลได้ทราบทั่วกัน สำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ที่มีมากมายในขณะนั้นยังไม่มีกฎ ข้อห้ามที่ชัดเจน นักบวชในครั้งพุทธกาลเก็บผลไม้กินเอง ประกอบอาหารกันเอง ทานอาหารวันละหลายครั้ง รับเงินรับทอง แสวงหาลาภด้วยกิริยาอาการไม่ดีไม่งามต่างๆเมื่อพระองค์ทรงประกาศหลักปฏิบัติ แนวทาง คือ ศีลให้พุทธบริษัท ๔ อันประกอบด้วยพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติแล้ว พระองค์ก็ทรงสั่งสอนให้ชาวพุทธยึดมั่นรักษาศีลเอาไว้ให้ดี ให้เป็นแบบฉบับเฉพาะของชาวพุทธ อุบาสก อุบาสิกา ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน ๔ ของพุทธบริษัท จึงควรปฏิบัติรักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีลอุโบสถ โดยให้ทุกคนถือเอาศีลเป็นแนวทาง เป็นปทัฏฐานในการดำรงชีวิต

ศีล มีความสำคัญต่อความเป็นมนุษย์ของคน คนกับมนุษย์จะมีความเหมือนกันเพียงร่างกายแต่จะแตกต่างกันที่มีศีล คนถ้าไม่มีศีลก็จะไม่แตกต่างจากสัตว์ทั่ว ๆ ไป อาจร้ายกว่าสัตว์ด้วยซ้ำ ศีลจะทำคนให้เป็นมนุษย์ได้ เพราะ มนุษย์ แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง คนที่ไม่มีศีลเป็นคนจิตใจต่ำจะเป็นมนุษย์ไม่ได้ คนที่จะเป็นมนุษย์ได้จะต้องเป็นคนมีศีลควบคุมกำกับจิตใจตลอดเวลา หลักมนุษยธรรม คือธรรมอันทำให้คนเป็นมนุษย์ ก็คือ ศีลนั่นเอง

          ดังนั้น ศีลเป็นวิธีบำเพ็ญตนของพระโพธิสัตย์ คือ พระโพธิสัตว์ จะต้องไม่เป็นผู้ฆ่าชีวิตมนุษย์ให้ตายด้วยมือตนเอง หรือใช้ผู้อื่นกระทำหรือใจสมรู้ ตลอดจนฆ่าชีวิตสัตว์เล็กใหญ่ให้ตาย ไม่ถือเอาของผู้อื่น ตลอดจนลักเอาของไม่มีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่เสพเมถุน ไม่อวดอุตริมนุสธรรม อวดรู้ฌานรู้มรรคผลที่ไม่มีในตน ตลอดจนพูดมุสาวาทที่ไม่ใช่ความจริง กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่ผลิตสุราเมรัยน้ำเมา ตลอดจนยาดองสุราที่ไม่ใช่รักษาโรคโดยตรง กระทำหรือผลิตเอง หรือใช้คนอื่นกระทำหรือผลิต ต้องโทษสถานหนัก ไม่กล่าวร้ายบริษัท ๔ ใส่ร้ายอาบัติชั่ว ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนศึกษามานะ (สิกขมานา) สามเณรและสามเณรี โดยไม่มีมูล ด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่ยกตนข่มท่าน ติเตียนนินทาภิกษุอื่น ยกย่องตนเองเพื่อลาภด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่ตระหนี่เหนียวแน่น ไม่มีมุทิตาจิต ตลอดจนไม่เอื้อเฟื้อต่อผู้ยากจนขอทาน และไม่ขับไล่ไสส่ง กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่มุทะลุฉุนเฉียว ตลอดจนก่อการวิวาท ใช้มีด ใช้ไม้ ใช้มือทุบตีภิกษุอื่น กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ไม่ประทุษร้ายต่อพระรัตนตรัย กระทำด้วยตนเองหรือใช้ผู้อื่นกระทำ ซึ่งการบำเพ็ญตนดังกล่าวจะต้องต้องโทษสถานหนัก ไม่สามารถบำเพ็ญบารมีธรรมเพื่อการบรรลุพระโพธิญาณในอนาคตหรือประโยชน์ตนเอง (อัตตัตถะ) ได้

 

บรรณานุกรม

 

ปัญญา ใช้บางยาง. พระโพธิสัตว์ เป็นมาอย่างไร?. พิมพ์ครั้งที่ 6 กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์รติธรรม,    ๒๕๔๘.

ผาสุข อินทราวุธ. พุทธปฏิมาฝ่ายมหายาน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษรสมัย. 2543.

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช. เอกสารประกอบการเรียนการสอบ       เปรียบเทียบเถรวาทกับมหายาน. พิมพ์ครั้งที่ 1 นครศรีธรรมราช : โครงการพุทธศาสตรบัณฑิต      สำหรับพระสังฆธิการและครูสอนพระปริยัติธรรม, ๒๕45.

ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 3,       ราชบัณฑิตยสถาน, 2552.

เสถียร  โพธินันทะ. ปรัชญามหายาน. กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย, 2555.

สุสักษณ์ ศิวรักษณ์. ความเข้าใจในเรื่องมหายาน. พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร : บริษัทส่องศยาม จำกัด,        ๒๕45.

สุวิญ  รักสัตย์. พระพุทธศาสนามหายาน. พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัด บางกอก   บล็อก, ๒๕55.

http://anamnikay.is.in.th/?md=content&ma=show&id=18