การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดหรือความทุกข์
ว่าที่ร้อยตรี
สมโภชน์ สุวรรณรัตน์
รหัส 5630150132028
นักจิตวิทยาหลายท่านยอมรับว่า
ความเครียดถือเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตที่สำคัญที่สุดในโลกเพราะว่าความเครียดจากความวิตกกังวลจะทำให้ไม่มีความสุข
ความไม่สบายใจ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ทางร่างกายตามมา เช่น ปัญหานอนไม่หลับ แผลในกระเพาะอาหาร
โรคเบาหวานกำเริบ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคเริมที่อวัยวะเพศกำเริบ โรคหอบ และโรคมะเร็ง
ความเครียดทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง จากการขาดงาน ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
และผลของการทำงานลดน้อยลง ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และเป็นเหตุชักจูงให้บุคคลปรับตัวในทางที่ผิด
บางคนหาทางระบายความเครียดด้วยการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ติดยาเสพติดให้โทษ หลายคนหมกมุ่มอยู่กับการพนัน
มีชีวิตเสี่ยงกับโชคลาภ มีบางคนที่ต้องตัดสินใจคิดสั้นทำอัตวินิบาตกรรมฆ่าตัวตาย จึงทำให้มองเห็นผลกระทบจากความเครียดต่อสภาพจิตใจและร่างกาย
การปรับตัวต่อความเครียด และการแสวงหาแนวทางเพื่อส่งเสริมการปรับตัวที่ดี จะช่วยสร้างสรรค์ส่งเสริมให้คนสามารถแก้ปัญหาความเครียดนั้นๆ
ได้
ความหมายและบ่อเกิดของความเครียดหรือความทุกข์
ความเครียดเป็นสถานการณ์ที่คับแค้นที่มีผลทำให้เกิดความกดดันทางอารมณ์ความเครียดจะเกิดเกี่ยวกับความวิตกกังวล
บางครั้งความเครียดอาจจะเกิดขึ้นกับร่างกาย เมื่อมีการใช้พลังงานมาก และมีการเปลี่ยนแปลงต่อขบวนการทางสรีรวิทยาของร่างกาย
โดยเฉพาะสภาวการณ์ที่มีความเสี่ยงมีลักษณะถูกคุกคามสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทำให้เกิดความรู้สึกลำบากใจ
จำเป็นต้องหาทางออกหรือข้อแก้ไข ซึ่งบ่อเกิดของความเครียดมีหลายสาเหตุ เช่น
๑. ความเครียดที่เกิดจากสาเหตุทางร่างกาย เช่น การเจ็บป่วย การมีโรคประจำตัว
รวมทั้งการพิการหรือการสูญเสียอวัยวะที่เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต มีผลกระทบต่อชีวิตครอบครัว
และอาชีพทำให้ต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่น นอกจากนั้น ความเครียดอาจเกิดจากความต้องการทางร่างกายตามธรรมชาติและเกิดจากสภาพแวดล้อมการทำงานในชุมชนที่ต้องเสี่ยงกับการบาดเจ็บและการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
๒. ความเครียดที่เกิดจากความต้องการทางจิตใจ ประกอบด้วยความคับข้องใจและความขัดแย้งในใจเพราะความคับข้องใจจัดว่าเป็นความเครียดที่เกิดจากส่วนจิตใต้สำนึกของสภาพจิตใจและมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคนมากที่สุด
จะเห็นได้ว่า คนที่มีความคับข้องใจ ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน อยากจะปฏิรูปสังคมอยากจะให้ตนมีอำนาจวาสนา
อยากจะให้พรรคพวกของตนได้รับการยอมรับ เมื่อคนเรามีความต้องการแล้วความต้องการนั้นไม่ได้รับการตอบสนอง
ทำให้คนผิดหวัง เกิดความล้มเหลวจากการกระทำ จึงมีความรู้สึกเสียหน้าทำให้เกิดความเครียดเพราะเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี
๓. ความเครียดที่เกิดจากสังคมและสภาพแวดล้อม ในภาวะความเครียดที่ทำให้เกิดความกดดันได้ง่ายเช่น
การก่อเหตุจลาจลทางการเมือง ความร้อน ความหนาว เสียงดังที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม
ความเหม็นหรือการอยู่ในที่คับแคบ ความเงียบ ความมืดและภัยคุกคาม ภัยพิบัติน้ำท่วม ไฟไหม้
ความเครียดในที่ทำงานเนื่องจากภาวะกดดันจากผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ล้วนมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่
สภาพจิตใจอย่างหนักต่อผู้ที่ได้รับความเครียด หากจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมทางกายภาพเหล่านี้
ซึ่งจะทำให้เกิดความเครียดเพิ่มมากขึ้น ส่วนสิ่งแวดล้อมของสังคมชุมชน มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนแออัด
มีอาชญากรรมมาก คนในชุมชนติดยาและสารเสพติดให้โทษ หากบุคคลต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็จะมีปัญหาในการปรับตัวทางด้านจิตใจเป็นอย่างมาก
เพราะเป็นสาเหตุเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน
๔. ความเครียดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของชีวิตจากผลการวิจัยของโฮล์มกับราเฮ
พบว่า ความเครียดต่อเหตุการณ์ในชีวิตที่กลุ่มตัวอย่างจัดลำดับไว้มี
๔๓ รายการ เรียงจากลำดับแรกที่มีความเครียดสูงที่สุด สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่นั้น
การตายของคู่ครองคู่สมรสหรือญาติ ผู้ใกล้ชิดถือว่าเป็นความเครียดรุนแรงที่สุดของชีวิต
รองลงมาคือการหย่าร้าง การแยกกันอยู่ การถูกจำคุก การตายของญาติ การเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุ
ปัญหาชีวิตสมรส การออกจากงาน การมีปัญหาทางเพศ ทั้งวัยรุ่นก็มีลำดับของความเครียดคล้ายคลึงกับผู้ใหญ่
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงของอายุ
ในแต่ละช่วงวัยคนจะเผชิญกับปัญหาความเครียดที่แตกต่างกัน เช่น สามีหรือภรรยาเสียชีวิต
เปลี่ยนหน้าที่การงาน หย่าร้าง ลูกแยกจากครอบครัวไปอยู่ที่อื่น แยกกันอยู่กับสามีหรือภรรยา
มีปัญหากับเขยหรือสะใภ้ การตายของคนในครอบครัว ได้รับการยกย่องในความสำเร็จ เข้าพิธีแต่งงาน
ภรรยาเริ่มทำงานหรือออกจากงาน ถูกให้ออกจากงาน
เริ่มเข้าเรียนหรือสำเร็จการศึกษา คืนดีกับคู่ที่เคยแยกทางกัน
ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยบางอย่าง เกษียณอายุการทำงาน มีปัญหากับหัวหน้างาน ความเจ็บป่วยของคนในครอบครัว
เปลี่ยนชั่วโมงการทำงาน การตั้งครรภ์ การย้ายที่อยู่อาศัย มีปัญหาทางเพศสัมพันธ์ การย้ายสถานที่เรียน
มีสมาชิกเพิ่มในครอบครัว เปลี่ยนแปลงวิธีการพักผ่อน การเปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงิน เปลี่ยนกิจกรรมทางสังคม
การเสียชีวิตของเพื่อนสนิท เปลี่ยนแปลงเวลานอน การเปลี่ยนงาน จำนวนคนในบ้านเปลี่ยนไป
ทะเลาะกับสามีหรือภรรยา เปลี่ยนนิสัยการกินอาหาร ถูกยึดทรัพย์ที่จำนองไว้ การมีวันหยุดหรือเวลาว่าง
การฝ่าฝืนกฎระเบียบบางอย่าง เป็นต้น สำหรับความเครียดของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองที่มีการจราจรแออัด
ฝนตกรถติด บางคนรู้สึกท้อแท้ หดหู่ ไม่อยากออกจากบ้านไปไหน แต่บางคนรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานในการเดินทางท่ามกลางคนหมู่มากในปัจจุบันตัวเร่งเร้าของความเครียดมีมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ เป็นต้นว่า ค่าครองชีพสูงขึ้น
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อากาศเป็นพิษ อาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ภาวะความรู้สึกโดดเดี่ยว
สังคมอยู่แบบตัวใครตัวมัน
อย่างไรก็ตามคนเรามักเชื่อถือว่า
ความเครียดคือภัยร้ายความเครียดคือมะเร็งทางอารมณ์ ความเครียดเป็นต้นเหตุให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลง
แต่อันที่จริงคนเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดถือวิกฤตเป็นโอกาส ให้เกิดการตระหนักรู้ว่า
ความเครียด ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในทางการเมือง ทำให้เราเกิดแหล่งการเรียนรู้ประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น
ความโหดร้ายในสังคม ทำให้คนไทยเกิดความรัก ความเห็นใจกันและกัน ความเครียดสามารถทำให้เกิดแรงกระตุ้นประสิทธิภาพในการทำงานได้
หากศึกษาจากประวัติศาสตร์เราจะพบว่านายทหารในสมัยโบราณที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถรบชนะข้าศึกศัตรูได้ก็เพราะ
เขามีขันติความอดทนในการที่จะเอาชนะสิ่งนั้น คือความเครียด การกีฬาเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เราเห็นว่า
ความเครียดมีประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพได้ การวิ่งออกกำลังกาย ให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
และทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้นจนเพียงพอแก่การรับมือกับปัญหาทางกายภาพ และความเครียดที่เกิดแก่หัวใจเราเองเราอาจจะพูดกันเรื่องลดความเครียดในที่ทำงาน
แต่ความเครียดเองเช่นกันที่กระตุ้นให้เราอ่านหนังสือ กระตุ้นให้เราทำงานดีขึ้น รวมทั้งบังคับให้ขับรถยนต์อย่างระมัดระวัง
ดังนั้น สรุปได้ว่าความเครียดในระดับอ่อนจนถึงปานกลางเป็นสิ่งที่กระตุ้นการทำงานของเราให้มีประสิทธิภาพประสบความสำเร็จดีขึ้น
จึงควรมีท่าทีอยู่กับความเครียดด้วยความเข้าใจและปรับตัวพัฒนาบุคลิกภาพอย่างสมดุล
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดนั้น
ตามแนวคิดเชิงพุทธให้ความสำคัญต่อกลไกทางจิตในการปรับตัวเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกหรือในระดับภวังคจิต
เพราะจิตมนุษย์นั้นดิ้นรน กวัดแกว่งควบคุมยาก ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสพุทธภาษิตกล่าวถึงลักษณะของจิตไว้ว่า
ลักษณะจิตมนุษย์ ดิ้นรน แกว่งไกว ป้องกันยาก ห้ามยาก จิตดิ้นรนเหมือนปลา ถูกโยนขึ้นไปบนบก
มีแต่จะดิ้นรนลงน้ำถ่ายเดียว จิตควบคุมยาก เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ใฝ่ไปในอารมณ์ที่น่ารัก
น่าใคร่ จิตเห็นได้ยาก ละเอียดอ่อน แส่ไปในอารมณ์ใคร่และจิตท่องเที่ยวไปได้ไกล เที่ยวไป
ดวงเดียว ไร้รูปร่าง อาศัยอยู่ในร่างกาย ดังนั้น ลักษณะจิตดังกล่าวนี้ พระพุทธองค์จึงได้สอนให้รักษาจิตควบคุมจิตฝึกจิตให้สงบ
เมื่อจิตสงบแล้ว ทุกอย่างก็จะสงบไปหมด ผู้มีสติปัญญาพึงรักษาจิต เพราะจิตที่อบรมดีแล้วนำสุขมาให้
ดังนั้น กลไกทางจิตในการปรับตัว เมื่อคนเราเกิดความเครียดก็จำเป็นต้องปรับตัวให้ได้
ทั้งนี้ เพื่อรักษาระดับความสมดุลทางจิตใจเอาไว้ ทำให้สภาพของความเป็นตัวของตัวเองดำรงอยู่ต่อไป
คนที่ไม่เคยพัฒนาจิตตนเอง จะปรับตัวไม่ได้อาจจะสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป เช่น
รู้สึกตนเป็นคนมีปมด้อย ตนเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ รู้สึกด้อย ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง
การยอมรับตนเองลดลง หากเกิดอาการรุนแรงเป็นเอามากก็จะทำให้ชีวิตสับสนวุ่นวาย ความคิดเกี่ยวกับตนเองเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ
มีโอกาสเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่อาการทางจิตประสาทและความผิดปกติของพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ด้านอื่นๆ
ก็จะตามมา ซึ่งสอดคล้องกับงานของประยูร สุยะใจ[1] อ้างใน
ซิกมันต์ ฟรอยด์
(Sigmund Freud) ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับกลไกป้องกันตัวที่สำคัญ ได้แก่
๑. Repression การเก็บกด
เกิดจากความปรารถนาถูกขัดขวางและบังคับให้หมดไปจากจิตสำนึก เช่น การที่คนมองโลกในแง่ดีตลอดเวลาเพราะได้เก็บกดความรู้สึกเจ็บปวดไว้
การเก็บกดอาจควบคู่ปรับการหาสิ่งทดแทน เช่น เด็กที่เก็บกดความรู้สึกมุ่งร้ายพ่ออาจแสดงความมุ่งร้าย
ต่อรูปแบบของอำนาจอื่นๆ
๒. Projection เกิดจาก Neurotic
Anxiety หรือ Moral Anxiety เปลี่ยนมาเป็นความกลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ความวิตกกังวลเดิมคือความกลัวการถูกลงโทษจากภายนอก จึงง่ายแก่การที่จะเปลี่ยนมาเป็นความผิดของผู้อื่น
เช่น การกล่าวว่า “เขาเกลียดฉัน” แทน
“ฉันเกลียดเขา” การโยนความผิดให้ผู้อื่นจะสนองเป้าหมาย
๒ ระดับ
คือ เป็นการลดความวิตกกังวลเมื่อเปลี่ยนมากลัวสิ่งที่มีอันตรายน้อยกว่าและบุคคลสามารถแสดงแรงผลักดันออกมาโดยปลอมแปลงว่าเป็นการป้องกันตัวจากศัตรู
๓. Reaction
Formation เป็นการแทนที่แรงผลักดันที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลโดยการแสดงตรงกันข้าม
ความเกลียดจะแสดงออกโดยความรัก แต่ความรู้สึกเดิมยังคงอยู่ พฤติกรรมที่แสดงออกสามารถแยกได้ว่าเป็นความรู้สึกแท้จริง
หรือตรงข้ามกับวามรู้สึกจริงเพราะพฤติกรรมของความรักที่เกิดจากการปกปิดความเกลียดจะมีลักษณะเกินความจริงมากเกินไป
๔. Fixation
and Regression การพัฒนาของบุคลิกภาพตามปกติ จะเป็นไปตามลำดับขั้นจนกระทั่งบรรลุวุฒิภาวะ
แต่ละขั้นก็จะประสบความคับข้องใจ และความวิตกกังวล ซึ่งถ้ามากเกินไป จะทำให้การพัฒนาหยุดชะงักชั่วคราวหรือถาวรบุคคลจะเกิดอาการชะงักขึ้นเรียกว่า fixation กลไกที่เชื่อมโยงกับ fixation คือ
Regression เมื่อบุคคลเผชิญกับประสบการณ์ที่ขมขื่นจะแสดงพฤติกรรมถอยกลับ
เช่น ดูดนิ้ว ร้องไห้ติดตามครู หรือซุกอยู่ที่มุมห้อง การถอยกลับมักจะถอยไปสู่ขั้นที่พัฒนาการชะงักงัน
คนที่เคยติดแม่ก็จะหวนกลับมาแสดงอีกเมื่อเผชิญความวิตกกังวลมากๆ จะเห็นได้ว่าเรื่องการเก็บกดนี้จัดว่าเป็นแนวคิดของทฤษฏีของนักจิตวิเคราะห์เพื่อนำมาพิจารณาลักษณะทางบุคลิกภาพ
ซึ่งการเก็บกดที่บุคคลได้รับรู้และตระหนักในเหตุการณ์ที่เป็นความทุกข์แล้ว จะส่งเหตุการณ์ที่เป็นทุกข์นั้น
เข้าสู่ภาวะจิตไร้สำนึก หากเมื่อเก็บกดเรื่องเช่นนี้แล้ว บุคคลก็จะไม่รับรู้เรื่องนั้นอีกต่อไป
การปรับตัวในสถานการณ์วิกฤตของชีวิต จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีกระบวนการและกลไกทางจิตในการป้องกันตัวเองที่บุคคลเลือกนำมาใช้อย่างไม่รู้ตัวนี้มีส่วนที่จะเป็นประโยชน์ในการปรับตัวแก่ผู้ใช้ที่จะเอื้อต่อการแก้ไขปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้นกับชีวิตประจำวัน
วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียด
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดซึ่งทำให้เกิดทุกข์
ในทางพระพุทธศาสนาซึ่งอาจจะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ที่เครียดหรือเป็นทุกข์
ได้พบกับหนทางแห่ความสุขในชีวิตได้มากขึ้น
ตามหลักพระพุทธศาสนาว่าไว้
10
ประการ ดังนี้[2]
1. สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย ทำให้เป็นทุกข์หรือความเครียด
2. ปกิณณกทุกข์ ทุกข์จร คือ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส
3. นิพัทธทุกข์ ทุกข์อันเนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ
ปัสสาวะ ทำให้เป็นทุกข์
4. พยาธิทุกข์ ทุกข์เพราะโรคต่างๆ
5. สัตาปทุกข์ ทุกข์เกิดจากกิเลส คือ โลภ โกรธ และหลง ทำให้เป็นทุกข์
6. วิปากทุกข์ ทุกข์เกิดจากกรรมเก่าตามมาให้ผล
7. สหคตทุกข์ (วิปริณามทุกข์) ทุกข์เกิดจากโลกธรรม
8
8. อาหารปริเยฎฐิทุกข์ ทุกข์เกิดจากการหาอาหาร
9. วิวาทมูลกทุกข์ ทุกข์เกิดจากการทะเลาะวิวาท
10. ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอด คือความยึดมั่นในขันธ์ 5
เป็นทุกข์
ความทุกข์โดยความเครียดเป็นผลของกรรมเก่า ซึ่งเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยาก วิธีดับทุกข์ เพราะ บุญหรือกรรมเก่า
ในปุญญกิริยาวัตถุสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องการทำบุญไว้ 3 ประการคือ
- บุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยทาน
- บุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยศีล
- บุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยภาวนาส่วนในอรรถกถา ท่านได้ขยายออกไปอีก 7 ประการ คือ
- อปจายนมัย ( ทำบุญด้วยการ ประพฤติอ่อนน้อม )
- เวยยาวัจจมัย ( ทำบุญด้วยการ ขวนขวายรับใช้ )
- ปัตติทานมัย ( ทำบุญด้วยการ ให้ความดีแก่ผู้อื่น )
- ปัตตานุโมทนามัย ( ทำบุญด้วยการ ยินดีบุญของผู้อื่น )
- ธัมมัสสวนมัย ( ทำบุญด้วยการ ฟัง อ่านธรรมะ )
- ธัมมเทสนานัย ( ทำบุญด้วยการ สั่งสอนธรรมะ )10.ทิฎฐุชุกัมม์ ( ทำบุญด้วยการ ทำความเห็นให้ตรง )
นอกจากนั้น
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่อง อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4
เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า
แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ
หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ ที่จะพ้นทุกข์หรือพ้นจากความเครียด มีอยู่สี่ประการ
คือ[3]
1.
ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก
ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่
การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก
การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น
กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5
2.
ทุกขสมุทัย คือ
สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม
ความอยากได้ทางกามารมณ์,
ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่
ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ
วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่
ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ
3.
ทุกขนิโรธ คือ
ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3
ได้อย่างสิ้นเชิง
4.
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือ
แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ
คือ 1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ
3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4.
สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ
6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ
7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ
8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ
ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง
กิจในอริยสัจ 4 คือสิ่งที่ต้องทำต่ออริยสัจ 4 แต่ละข้อ ได้แก่
- ปริญญา - ทุกข์ ควรรู้ คือการทำความเข้าใจปัญหาหรือสภาวะที่เป็นทุกข์อย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริง เป็นการเผชิญหน้ากับปัญหา
- ปหานะ - สมุทัย ควรละ คือการกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เป็นการแก้ปัญหาที่เหตุต้นตอ
- สัจฉิกิริยา - นิโรธ ควรทำให้แจ้ง คือการเข้าถึงภาวะดับทุกข์ หมายถึงภาวะที่ไร้ปัญหาซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย
- ภาวนา - มรรค ควรเจริญ คือการฝึกอบรมปฏิบัติตามทางเพื่อให้ถึงความดับแห่งทุกข์ หมายถึงวิธีการหรือทางที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ไร้ปัญหา
กิจทั้งสี่นี้จะต้องปฏิบัติให้ตรงกับมรรคแต่ละข้อให้ถูกต้อง
การรู้จักกิจในอริยสัจนี้เรียกว่ากิจญาณ
กิจญาณเป็นส่วนหนึ่งของญาณ
3 หรือญาณทัสสนะ (สัจญาณ,
กิจญาณ, กตญาณ)
ซึ่งหมายถึงการหยั่งรู้ครบสามรอบ ญาณทั้งสามเมื่อเข้าคู่กับกิจในอริยสัจทั้งสี่จึงได้เป็นญาณทัสนะมีอาการ
12 ดังนี้
- สัจญาณ หยั่งรู้ความจริงสี่ประการว่า
- นี่คือทุกข์
- นี่คือเหตุแห่งทุกข์
- นี่คือความดับทุกข์
- นี่คือทางแห่งความดับทุกข์
- กิจญาณ หยั่งรู้หน้าที่ต่ออริยสัจว่า
- ทุกข์ควรรู้
- เหตุแห่งทุกข์ควรละ
- ความดับทุกข์ควรทำให้ประจักษ์แจ้ง
- ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญขึ้น
- กตญาณ หยั่งรู้ว่าได้ทำกิจที่ควรทำได้เสร็จสิ้นแล้ว
- ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว
- เหตุแห่งทุกข์ได้ละแล้ว
- ความดับทุกข์ได้ประจักษ์แจ้งแล้ว
- ทางแห่งความดับทุกข์ได้ปฏิบัติแล้ว
การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดหรือความทุกข์
หรือการบริหารความเครียดไม่ได้อยู่ที่การปฏิบัติตามวิธีการต่างๆ ที่กล่าวมาอย่างเดียว
หากแม้แต่เราสามารถนำความเครียดหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นไปประสานกับสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน
นอกจากนี้ เราต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อเรื่องบริหารความเครียดทั้งเรื่องโภชนาการ
การออกกำลังกาย การพักผ่อน และความสัมพันธ์กับผู้อื่นประกอบด้วย หากเรามีความเข้าใจกับเรื่องต่างๆ
เหล่านี้ ประกอบกับการทำความเข้าใจในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาด้วยแล้ว ไม่นานนักเราจะสามารถกำหนดวิธีการแก้ไขความเครียดหรือความทุกข์เฉพาะตัวได้
เมื่อนั้นสุขภาพจิตที่ดีกว่าเก่าและความสุขจะเป็นของเราได้ ซึ่งจะมีการพัฒนาความพร้อมเกี่ยวกับสุขภาวะด้านกาย
สังคม อารมณ์และระดับสติปัญญาเพื่อให้หายจากความเครียดได้
ดังนั้น วิธีการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความเครียดหรือความทุกข์ จึงสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ความทุกข์ความเครียดที่เกิดขึ้นกับคนในสังคมไทย
ทั้งทางด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และสังคมที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน ทุกคนมีโอกาสที่จะประสบกับปัญหาความเครียดในองค์กร
แต่เราจะปรับตัวเองอย่างไรที่จะอยู่กับสถานการณ์ที่กดดันเหล่านั้นได้ เพราะปัญหาทุกอย่างมีไว้ให้แก้ไข
ไม่ได้มีไว้ให้เป็นทุกข์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธให้เราได้พินิจวิเคราะห์ประเด็นของความทุกข์ไว้ว่า
ความเครียดหรือความทุกข์ คือสิ่งที่ทนอยู่ได้ยากอันเกี่ยวกับกายและจิตใจ (โรคทางกาย โรคทางใจ) ได้แก่ พยาธิทุกข์หรือทุกขเวทนา
เป็นทุกข์ เป็นโรค หรือความเจ็บป่วยทางกาย อย่างที่เรียกว่า โรคกาย(Physical
Diseases) ซึ่งถ้าอวัยวะต่างๆ ของร่างกายไม่ทำหน้าที่ตามปกติร่างกายเกิดโทษ
เกิดอันตรายก็เป็นทุกข์ และสันตาปทุกข์ ทุกข์คือความรุ่มร้อน หรือทุกข์ร้อน ได้แก่
ความกระวนกระวาย เพราะถูกไฟคือ กิเลส พวกราคะ โทสะ และโมหะเผา ทุกข์เพราะถูกกิเลสถือเป็นโรคทางจิต(Mental
Diseases) และ ปกิณณกทุกข์ ได้แก่ทุกข์เบ็ดเตล็ด หรือทุกข์ที่จรมา ได้แก่
ความเศร้าโศก ความร่ำไรรำพัน ความเสียใจ และความคับแค้นใจ ทุกข์ประเภทนี้อาจก่อให้เกิดโรคจิต
โรคประสาท โรคเก็บกดหรือโรคซึมเศร้าได้ถือเป็นอันตรายอย่างมาก ดังนั้น การที่ชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จและให้มีความทุกข์น้อยที่สุด
แต่ให้มีความสุขเพิ่มมากขึ้น จงพยายามปรับตัวปรับใจตามรักษาจิตของตนเองให้ดี เพราะจิตที่ฝึกดีแล้วจิตที่คุ้มครองดีแล้วและจิตที่ตามรักษาดีแล้ว
ย่อมนำสุขมาให้ ซึ่งการข้ามพ้นหรือแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางจิตใจของบุคคลจะเกิดขึ้นได้เมื่อบุคคลนั้นเกิดปัญญา
เพราะเมื่อใดที่บุคคลเกิดปัญญาแสดงว่าบุคคลนั้นเกิดความเข้าใจถึงความจริงของชีวิต เข้าใจถึงกฎของธรรมชาติจนสามารถยอมรับความเป็นจริงแท้ของชีวิตได้
และสอดคล้องกับหลักพุทธศาสนสุภาษิตในการเตือนใจเพื่ออบรมจิต ไว้ว่า “ผู้มีปัญญา ทำจิตที่ดิ้นรน กวัดแกว่งรักษายาก ห้ามยาก ให้ตรงได้ เหมือนช่างศร
ดัดลูกศรให้ตรงได้ ฉะนั้น”[4]
[3]ราชบัณฑิตยสถาน.
พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พิมพ์ครั้งที่ 2
แก้ไขเพิ่มเติม, กรุงเทพมหานคร : อรุณการพิมพ์. 2548, หน้า
65-66.
[4] ขุ.ธ. ๒๕/๑๓/๑๙.